โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะ"ซื้อ"หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY)จากการวางกลยุทธปูฐานรายย่อยเพื่อการเติบโตในอนาคตที่จะเป็นแบงก์ที่เน้นรายย่อยเป็นหลัก
ทั้งนี้ คาดว่า BAY ในปี 53 จะเติบโตมากที่สุดในกลุ่มแบงก์ คงเป็นผลจากที่ได้รับประโยชน์เต็มปีจาก In organic ของปีที่แล้วที่ BAY ไปซื้อพอร์ต AIG และ GE money เข้ามา และจะกลายมาเป็น organic growth(การเติบโตตามปกติ)ของปีนี้ คาดสินเชื่อปีนี้น่าจะเติบโตในช่วง 8-10% ซึ่งผู้บริหาร BAY ก็คาดว่าสินเชื่อจะโต 8% หรือคิดเป็นเม็ดเงินราว 48,000 ล้านบาท
BAY จะมีฐานการปล่อยสินเชื่อให้กับรายย่อยมากขึ้น ดังนั้น รายได้จากค่าธรรมเนียมจึงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีด้วย โดยสัดส่วนสินเชื่อเรายย่อยของ BAY มีประมาณ 42% ของสินเชื่อรวม ซึ่งสินเชื่อรายย่อยนี้จะให้ผลตอบแทนที่สูง
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิของ BAY ในปี 53 ไว้ที่ 8.32-9.07 พันล้านบาท เติบโต 25-36% จากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 6.66 พันล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) CLSA ซื้อ 23.00 Merrill Lynch ซื้อ 26.50 Citigroup ซื้อ 24.00 Credit Suisse ซื้อ 25.50 บล.ธนชาต ซื้อ 25.00 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 25.90 บล.พัฒนสิน ซื้อ 27.00 บล.นครหลวงไทย ซื้อ 25.75 บล.ภัทร ซื้อ 26.50 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 26.20 บล.ไทยพาณิชย์ ซื้อ 24.00 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 24.50 บล.ดีบีเอส(ประเทศไทย) ถือ 21.60 บล.กสิกรไทย Neutral 22.50
น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)แนะนำ"ซื้อ"หุ้น BAY จากที่มองว่าปี 53 น่าจะเป็นช่วงที่ BAY รับประโยชน์เต็มปีจาก Inorganic ของปีที่แล้วที่ซื้อพอร์ตของ AIG และ GE money เข้ามา และจาก Inorganic growth ก็จะกลายมาเป็น organic growth(การเติบโตตามปกติ)ในปีนี้ โดยคาดว่าสินเชื่อของ BAY ในปีนี้ที่เป็น organic growth น่าจะเติบโตได้ 8% ตามที่ทางแบงก์ได้ประมาณการไว้ หรือคิดเป็นเม็ดเงิน 48,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ BAY จะมีการปล่อยสินเชื่อให้กับรายย่อยมาก ดังนั้น รายได้จากค่าธรรมเนียมจึงมีการเติบโตดีด้วย โดยสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยของ BAY มีประมาณ 42% ของสินเชื่อรวม ซึ่งสินเชื่อรายย่อยให้ผลตอบแทนสูง
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 53 ของ BAY ไว้ที่ 9.02 พันล้านบาท เติบโต 35.4% จากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 6.66 พันล้านบาท
น.ส.อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเซียพลัส กล่าวว่า BAY ได้วางกลยุทธ์ในการปูฐานรายย่อยไว้เพื่อการเติบโตในอนาคตเป็นเบงก์ที่เน้นรายย่อยเป็นหลัก โดยปี 53 BAY จะรับผลประโยชน์เต็มปี จากที่ไปซื้อพอร์ตสินเชื่อของกลุ่ม GE เข้ามา
"การซื้อ BAY เป็นการซื้ออนาคต ถ้าเศรษฐกิจฟื้น รายย่อยก็จะมีการใช้จ่ายไปด้วย ซึ่งปัจจุบันสินเชื่อบัตรเครดิต BAY ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ส่วนสินเชื่อรถยนต์ก็ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1-2 ขึ้นอยู่กับรถเก่า-รถใหม่ และยังมี Car for Cash อีก ที่ให้ผลตอบแทนที่สูง BAY ยังมีสินเชื่อเดิมที่ทำไว้พวก Corporate ซึ่งฐานลูกค้าสินเชื่อรายย่อยของ BAY ได้กว้างขึ้น ทำให้คาดว่าสินเชื่อของ BAY ในปีนี้จะเติบโตประมาณ 10%"น.ส.อุษณีย์ กล่าว
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 53 ของ BAY ไว้ที่ 8.32 พันล้านบาท เติบโต 25% จากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 6.6 พันล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) แนะนำแค่"ถือ"หุ้น BAY เพราะราคาตลาดในตอนนี้ก็วิ่งเข้าใกล้ราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ 21.60 บาท/หุ้นแล้ว และมองว่าปีนี้ BAY ก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก แต่การวางฐานเป็นแบงก์สำหรับรายย่อย ก็ถือว่าดี แต่ตอนนี้คงจะต้องจับตาดูในส่วนของ organic growth ว่าจะเติบโตได้ตามที่ผู้บริหารคาดการณ์ไว้หรือไม่ โดยเฉพาะสินเชื่อที่ตั้งเป้าจะเติบโต 8%
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ 53 ไว้ที่ 8.45 พันล้านบาท เติบโต 27% จากปีที่แล้ว 52 ที่มีกำไรสุทธิ 6.6 พันล้านบาท
น.ส.สิริณัฎฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย แนะนำ"Neutral"สำหรับหุ้น BAY ด้วยราคาเป้าหมาย 22.50 บาท/หุ้น โดยมองว่าปีนี้ BAY และ TMB จะมีการเติบโตมากที่สุดในกลุ่มแบงก์ เป็นผลจากปลายปีที่แล้ว BAY เข้าซื้อพอร์ต GE Money ทำให้กำไรปีนี้น่าจะมีการเติบโตมาก แต่ราคาหุ้น BAY ได้รับรู้ไปมากแล้ว
อย่างไรก็ดี ขณะนี้คงคาดการณ์การเติบโตสินเชื่อของ BAY ในปีนี้เท่ากับที่ผู้บริหารแบงก์ได้คาดการณ์ไว้ที่ 8% ซึ่งจะไม่รวมกรณีหากมีการซื้ออะไรเข้ามาใหม่ พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิไว้ที่ 9.07 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 6.6 พันล้านบาท