บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะหนึ่งในผู้นำในธุรกิจก่อสร้างอาคารสูง ตลอดจนประสิทธิภาพในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้าง และงบดุลที่แข็งแกร่งของบริษัท แต่จุดแข็งดังกล่าวลดลงบางส่วนเนื่องจากลักษณะที่ผันผวนของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรง ธุรกิจที่ขาดความหลากหลาย ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ว่าจ้าง และผลกำไรที่มีความอ่อนไหวต่อราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากการที่ลักษณะของสัญญาก่อสร้างส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นแบบคงที่ (Fixed-price Contract)
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจงานก่อสร้างภาคเอกชนเอาไว้ได้ต่อไป ในขณะเดียวกันจะยังคงรักษาวินัยในการประมูลงานและรักษางบดุลที่แข็งแกร่งเอาไว้ในช่วงที่สภาพตลาดมีความยากลำบาก
STNTEC ก่อตั้งในปี 2531 และปัจจุบันเป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างทั่วไปขนาดกลางซึ่งมีความชำนาญในการก่อสร้างอาคารสูง บริษัทมีรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 ทั้งสิ้น 4,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นธุรกิจภาคเอกชนซึ่งประกอบด้วยธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ ตลอดจนโรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรม แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วอัตรากำไรจากงานรับเหมาก่อสร้างภาคเอกชนจะสูงกว่างานของภาครัฐ แต่บริษัทก็มีความเสี่ยงจากอุปสงค์งานก่อสร้างที่ลดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทยังประสบกับปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างที่ผันผวนเช่นเดียวกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายอื่นๆ ในประเทศไทยเนื่องจากสัญญาก่อสร้างส่วนใหญ่ของบริษัทมีลักษณะเป็นแบบคงที่
ดังนั้น บริษัทจึงพยายามลดความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการตรึงราคาวัสดุก่อสร้างเมื่อมีโอกาสและลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็นจากงานก่อสร้างลง โดยที่การควบคุมความคืบหน้าของงานก่อสร้างอย่างใกล้ชิดช่วยลดโอกาสในการขาดทุนอย่างไม่คาดหมายจำนวนมากเมื่อสิ้นสุดโครงการ และเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในภาคเอกชน บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากปัญหาด้านเครดิตของลูกค้า
ทั้งนี้ ความสามารถในการคัดกรองและรักษาลูกค้าที่มีคุณภาพเอาไว้ได้ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยแห่งความสำเร็จของบริษัท อนึ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้สั่งสมชื่อเสียงในด้านคุณภาพและความน่าเชื่อถือในงานก่อสร้างจนส่งผลให้มีลูกค้าเก่าที่กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง อาทิ บมจ. ศุภาลัย (SPALI) บมจ. แสนสิริ (SIRI) และกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น ณ เดือนกันยายน 2552 บริษัทมีงานคงค้างที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวน 33 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 6,089 ล้านบาท ลดลง 10% จาก 6,764 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2551 หรือคิดเป็น 1.2 เท่าของรายได้เฉพาะของบริษัทในปี 2551
ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 ได้รับผลกระทบจากการขาดทุนในโครงการบ้านเอื้ออาทรเนื่องจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นและงานก่อสร้างเสร็จล่าช้ากว่ากำหนด บริษัทได้ตั้งสำรองเผื่อขาดทุนจากงานก่อสร้างและประมาณการค่าปรับงานล่าช้ากว่าสัญญาไว้จำนวน 129 ล้านบาทสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 ซึ่งส่งผลทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงมาอยู่ที่ 4.88% จาก 5.05% ในปี 2551
อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาส่งผลทำให้บริษัทมีเงินสดและงบดุลที่เข้มแข็ง โดย ณ เดือนกันยายน 2552 บริษัทมีภาระหนี้อยู่ที่ 713 ล้านบาท ลดลงจาก 822 ล้านบาทในปี 2551 ในขณะที่เงินสดในมืออยู่ที่ 658 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนปรับตัวดีขึ้นจาก 32.29% ในปี 2551 มาอยู่ที่ 26.04% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ในระดับสูงถึง 54.02% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี)