ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (26 ก.พ.) ท่ามกลางการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ผันผวน และการรายงานผลประกอบการของเอไอจีที่ยังขาดทุนหนักเกินคาดในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวกเล็กน้อย 4.23 จุด หรือ 0.04% แตะที่ 10,325.26 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.56 จุด หรือ 0.14% ปิดที่ 1, 104.49 จุด และดัชนี Nasdaq ปิดบวก 4.04 จุด หรือ 0.18 % แตะที่ 2,238.26 จุด
โดยบรรยากาศการซื้อขายเคลื่อนไหวภายใต้ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างผันผวน จากการรายงานดัชนีภาคธุรกิจและผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่พุ่งสูงเกินคาด สวนทางกับการรายงานยอดขายบ้านมือสองที่ปรับตัวลดลง
กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐในไตรมาส 4 ปี 2552 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.9% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.7% ในเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งการปรับทบทวนจีดีพีครั้งล่าสุดนี้ออกมาสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ขณะเดียวกัน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในเขตชิคาโกปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 62.6 จุดในเดือนก.พ. จากระดับ 61.5 จุดในเดือนม.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตกำลังอยู่ในระหว่างฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม รายงานจากสมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐประจำเดือนม.ค.ร่วงหนักเกินคาดที่ระดับ 7.2% ทำสถิติลดลง 2 เดือนติดต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญอุปสรรคต่อการฟื้นตัว หลังจากที่ ก่อนหน้านี้สหรัฐได้เปิดเผยยอดขายบ้านใหม่ที่ร่วงลงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ เอไอจีประกาศผลประกอบการขาดทุนหนักเกินคาดในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2552 ที่ 8.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจการเงินยังคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขขาดทุนดังกล่าวดีขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ และจากการรายงานผลประกอบการดังกล่าวทำให้หุ้นของเอไอจีร่วงลงไป 10%
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนทำให้นักลงทุนรู้สึกสับสนต่อทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต และนักลงทุนส่วนใหญ่ยังสงวนท่าทีในการส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามาในตลาด ในระหว่างที่รอการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะรายงานตัวเลขจ้างงานเดือนก.พ.ที่กระทรวงแรงงานจะเปิดเผยในวันศุกร์หน้า รวมถึงรายงานตัวเลขการใช้จ่ายและรายได้ส่วนบุคคล ตลอดจนดัชนีภาคการผลิต การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างและยอดขายบ้าน ซึ่งปัญหาที่นักลงทุนวิตกกังวลกันมากคือเรื่องของอัตราว่างงานและตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ