บมจ.จุฑานาวี(JUTHA)มั่นว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรดีกว่าปีก่อน แม้จะคาดว่ารายได้รวมลดลง 20% เหลือ 400 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเรือลดลง แต่การที่บริษัทขายเรือเก่าออกไปทำให้รายจ่ายลดลงไปมาก ขณะที่บริษัทหันมาเพิ่มรายได้จากการรับบริหารเรือ ทำให้กำไรเติบโตดีขึ้น โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารับบริหารเรือเพิ่มอีก 5 ลำ จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 5 ลำ
บริษัทยังคาดว่าในปีนี้จะมีกำไรจากการดำเนินงาน จากปีก่อนที่มีผลขาดทุน เนื่องจากผลของการขายเรือเก่าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะทำให้ปริมาณการขนส่งปรับตัวดีขึ้น
นายชเนศร์ เพ็ญชาติ กรรมการผู้จัดการ JUTHA คาดว่า รายได้ปี 53 จะลดลงเหลือ 400 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนเรือที่ลดลง แต่คาดว่าการทำกำไรสูงขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากบริษัทหันมาเน้นธุรกิจบริหารจัดการเรือมากขึ้น เพราะเป็นธุรกิจที่ถือว่าไม่มีต้นทุน และสร้างผลกำไรได้แน่นอน โดยสัดส่วนรายได้จากการบริหารเรือในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 33 ล้านบาท จากปี 52 ที่มีรายได้ดังกล่าวไม่ถึง 20 ล้านบาท
นอกจากนี้ กำไรที่สูงขึ้นมาจากอายุของเรือเฉลี่ยลดลงเหลือ 7 ปี หลังจากบริษัทขายเรือเก่าที่มีอายุมากออกไปหมดแล้ว ทำให้ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงได้มากขึ้น และในไตรมาส 1/53 จะมีการบันทึกกำไรจากการขายเรือเก่าเมื่อปลายปี 52 ขณะที่คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานจะกลับมาเป็นบวกได้ จากปี 52 ที่มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานกว่า 10 ล้านบาท
"บริษัทพยายามลดความเสี่ยงโดยตัดขายเรือเก่าออก เพราะอายุมากแล้ว และพยายามเก็บเรือใหม่ไว้รอตลาดฟื้น และหันไปลดความเสี่ยงโดยเน้นการบริหารจัดการเรือมากขึ้น เพื่อรองรับเศรษฐกิจโลก ซึ่งการบริหารจัดการเรือไม่ต้องลงทุน เป็นรายได้ที่แน่นอน และบริษัทมีประสบการณ์ มี knowhow จึงเป็นจังหวะที่ดี เพราะช่วงเศรษฐกิจไม่ดี การบริหารจัดการเรือจะทำให้เราได้ประโยชน์"นายชเนศร์ กล่าว
สำหรับในปี 53 อัตราค่าระวางเรือเช่าช่วงต้นปีอยู่ที่ 6,000 ดอลลาร์/ลำ/วันใกล้เคียงปีก่อน แต่ช่วงปลายปี 53 ประเมินว่าค่าระวางเรือมีโอกาสอาจปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8,000-10,000 ดอลลาร์/วัน/ลำ จากผลของเศรษฐกิจโลกที่น่าจะฟื้นตัวเต็มที่ และส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยทำให้ขยายตัวราว 4%
ขณะที่ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ปลายปี 53 น่าจะอยู่ที่ 3,000 จุด จากปัจจุบันอยู่ที่ 2,600-2,700 จุด ภายใต้การประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.9-4% และเมื่อรวมปริมาณการใช้เรือที่จะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก