นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือน มี.ค.53 มีโอกาสผันผวนจากปัจจัยการเมืองที่ยังยืดเยื้อ และมีจุด peak การชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงในช่วง 11-16 มี.ค.จากความเสี่ยงของการเกิดเหตุความรุนแรง แต่ก็พอมองเห็นจังหวะเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เพราะราคาหุ้นถูกมาก ขณะที่เสถียรภาพรัฐบาลผสมยังค่อนข้างมั่นคง ซึ่งหากปัจจัยการเมืองผ่านพ้นไปก็จะทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง
"ความรุนแรงทางการเมืองในเดือนมี.ค.จะไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลผสมในปัจจุบัน แต่หลังศาลฎีกาตัดสินแล้วและมีแนวโน้มรุนแรงต่อเนื่อง โดยจุดสูงสุดน่าจะอยู่ในวันที่ 11-16 มี.ค.เป็นช่วงที่กลุ่ม นปช.นัดชุมนุมใหญ่ ซึ่งจะทำให้ตลาดผันผวนค่อนข้างมาก ประเมินว่ามีความเป็นไปได้ในระดับต่ำที่กองทัพจะออกมาแทรกแซงทางการเมือง"นายสุกิจ กล่าว
ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนี SET ในเดือนมี.ค.อาจจะแกว่งตัวในกรอบ 700-750 จุด และมีโอกาสแกว่งตัวในกรอบต่ำลงมาที่ 600-670 จุดได้ ซึ่งหากลงมามากก็เป็นจังหวะซื้อสะสมเข้าพอร์ต เพราะปัจจัยที่มีผลกระทบมากมีแค่เรื่องการเมืองอย่างเดียว ส่วนปัจจัยภายนอกมีผลกระทบน้อยลงแล้ว
สถาบันวิจัยฯ ประเมินโอกาสของการเกิดความรุนแรงจากการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ที่ 66% ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น ขณะที่อีก 33% เป็นการประเมินว่ารัฐบาลจะสามารถรักษาความสงบเรียบร้อยไว้ได้ ก็จะไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น นักลงทนจึงควรระมัดระวังในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาภายนอกประเทศที่คลี่คลายลง ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน เห็นได้จากการเข้ามาซื้อสุทธิเมื่อวานนี้ อีกประเด็นหนึ่งคือตลาดหุ้นไทยราคาถูกเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ ทำให้มีความน่าสนใจในการลงทุนเมื่อเทียบกับเดือนก่อนที่สถาบันฯ แนะนำให้ถือเงินสด แต่ขณะนี้แนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนมาเป็นหุ้น 50% จากเดิม 30% ที่เหลือเป็น ตราสารหนี้, กองทุน, money market และ ทองคำ
นายสุกิจ กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นยังน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตร จึงแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เพราะอัตราผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 5.8% และประเมินว่าหากซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเดือน มี.ค.ก็มีโอกาสจะให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงถึง 16% ต่อปี
นอกจากนั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะส่งผลบวกต่อการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิของ บจ.ในปี 53 จะเติบโต 5% เป็น 3.85 แสนล้านบาท โดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ยานยนต์ และ พาณิชย์ มีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่น โดยแนะนำลงทุนหุ้น HMPRO คาดว่าเติบโตได้ดีในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากผลของงบไทยเข้มแข็งทำให้ผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย, THAI ที่ได้รับผลดีจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว