นางกฤตยา ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เมืองไทยประกันภัย(MTI) กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 53 บริษัทฯ วางเป้าหมายการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับตรง 10-15% หรือมากกว่า 4,650 ล้านบาท ซึ่งโตกว่าประมาณการเติบโตของธุรกิจ 2 เท่า โดยเน้นการขยายงานผ่านช่องทาง Bancassurance ทั้งจากพันธมิตรธนาคารเดิมและธนาคารใหม่ ช่องทางตัวแทน และพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เช่น กลุ่มค้าปลีก, ธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจท่องเที่ยว และยังคงสัดส่วนการรับประกันภัยรถยนต์ไว้ที่ประมาณ 45%
บริษัทวางกลยุทธ์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทั่วประเทศทั้งการสื่อสารผ่านสื่อเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่น การจัดกิจกรรมในพื้นที่ภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อตอบรับแนวคิดการสนับสนุน Micro Insurance ของคปภ.และกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้บริษัทยังลงทุนต่อเนื่องในการขยายศูนย์บริการตามภาคต่างๆ เพิ่มเติม อีก 5 แห่ง รวมเป็น 12 แห่ง เพื่อรองรับการบริการ และงานด้านฝึกอบรมการขาย ซึ่งบริษัทเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ได้รับอนุมัติหลักสูตรการอบรมที่ครบถ้วนจากคปภ. ทั้งการอบรมตัวแทนและนายหน้า
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังเน้นการบริหารต้นทุนการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการลดกระบวนการทำงาน การพัฒนาและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มเติม เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะสามารถใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ส่วนกลางใหม่ได้ในไตรมาส 2/53 และจะลงทุนระบบส่วนหน้าเพื่อให้รองรับการขยายตัวของงานจากพันธมิตรต่างๆ รวมทั้ง บริษัทมีแผนการขยายงานผ่านทาง website ด้วย
MTI รายงานผลประกอบการปี 52 มีเบี้ยประกันภัยรับ 4,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 51 โดยมีกำไรสุทธิ 257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท หรือ 357% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 51 ที่มีการจัดทำงบเสมือนรวมบริษัทฯ สัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับตรง แยกเป็น รถยนต์ 45% ประกันภัยทั่วไป 55% ประกอบด้วย อัคคีภัย 20% ประกันภัยเบ็ดเตล็ด 17% ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 15% และประกันภัยทางทะเล 3%
เบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้มีจำนวน 3,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 จำนวน 222 ล้านบาท หรือ 7.5% บริษัทฯมีรายได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์ 179.7 ล้านบาท คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 4.3% โดยสัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณ 21% ตราสารหนี้ประเภทต่างๆ 54% และเงินฝาก 23% ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 52 บริษัทฯ มีฐานเงินกองทุนอยู่ในระดับ 777% ของเกณฑ์ที่คปภ.กำหนด