โบรกฯ แนะ"ซื้อ" BIGC มองปี 53 กำไร-ยอดขายฟื้น ฐานะการเงินแข็งแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 4, 2010 13:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC)มองเป็นหุ้นปลอดภัยในภาวะตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยง โดยคาดปี 53 กำไร-ยอดขายฟื้นตัวหลังมีสัญญาณบวกตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ที่ทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การกลับมาขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 4 แห่งในปีนี้จะส่งผลทำให้การเติบโตของรายได้ในอนาคตดีขึ้น หลังจากที่ปีก่อนมีสาขาเพิ่มขึ้นแค่แห่งเดียว และบริษัทยังมีแผนขยายสาขาต่อเนื่องในปี 54-55 ด้วย

บริษัทยังมีจุดแข็งที่สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ไม่มีภาระหนี้สิน และมีเงินสดสูงถึงประมาณ 2 พันล้านบาท รวมทั้ง มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 3-4% เป็นผลให้โบรกเกอร์หลายแห่งปรับราคาเป้าหมายใหม่

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ      ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          บล.ทิสโก้             ซื้อ             57.00
          บล.เอเซียพลัส         ซื้อ             55.20
          บล.กรุงศรีอยุธยา       ซื้อ             53.50
          สถาบันวิจัยนครหลวงไทย  ซื้อ             53.00
          บล.กิมเอ็ง            ซื้อ             50.00
          บล.ยูไนเต็ด           ซื้อ             50.00
          บล.ซิกโก้             ซื้อ             50.00

นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา คาดว่า กำไรของ BIGC ในปี 53 จะฟื้นตัวมาเติบโต 7% และยอดขายเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน

กำไรที่ดีขึ้นในปีนี้ส่วนหนึ่งมาจากภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง เพราะขณะนี้บริษัทไม่มีหนี้สิน และมีเงินสด(CASH)อยู่ในเกณฑ์สูงถึง 2 พันล้านบาท ดังนั้น การลงทุนขยายสาขาใหม่ 4 แห่งแทบไม่ต้องกู้เงินเลย หรือหากกู้เพื่อเก็บเงินสดไว้บ้างส่วน ก็คงจะกู้ในวงเงินไม่มากนัก โดยการขยายสาขาใหม่ในปีนี้คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้นบาท

"ผมคิดว่าตัวกำไรปีนี้ฟื้นตัวดีขึ้นตามยอดขายที่น่าจะเติบโต จุดแข็งของเขาเป็นเรื่องสภาพคล่อง ตอนนี้บิ๊กซีไม่มีหนี้เลย จึงส่งผลดีให้บริษัทสามารถขยายสาขาโดยที่ไม่ต้องแบกภาระดอกเบี้ยสูง อาจจะเป็นผลดีต่อเนื่องเรื่องจ่ายปันผล...ถ้ามองเรื่อง downside risk ถือว่าไม่มาก เงินปันผลก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลางประมาณ 4-5% ก็ถือระยะยาวก็ได้"นายธนัท กล่าว

ทั้งนี้ มองว่าการที่ BIGC มีฐานะเงินสดสภาพคล่องสูงมาก ในภาวะเศรษฐกิจเสี่ยง การที่บริษัทมีหนี้ต่ำถือว่าได้เปรียบมาก ถือเป็นหุ้นที่ปลอดภัยตัวเหนึ่งในกลุ่มพาณิชย์

ด้าน น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ผลประกอบการของ BIGC ในไตรมาส 4/52 ทำกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเติบโตมากจากไตรมาส 3/52 ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ นอกจากนี้ บริษัทได้มีการปรับลดต้นทุนการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายที่เห็นผล

ในปี 53 คาดว่ากำไรและยอดขายของ BIGC จะเติบโตต่อเนื่องจากการขยายสาขาใหม่ และยังมีการปรับลดค่าใช้จ่าย ประกอบกับ บริษัทปรับสัดส่วนสินค้าที่มีมาร์จิ้นดีให้มากขึ้น เช่น อาหาร รวมทั้งจัดส่งเสริมการขายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการที่ได้รับฟังข้อมูลล่าสุดจากผู้บริหารบริษัท ทางบล.ฟินันเซียไซรัส เตรียมปรับราคาเป้าหมายใหม่ จากที่เคยแนะนำซื้อที่ราคาเป้าหมาย 47.50 บาท

บทวิเคราะห์ของ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ระบุว่า จากกำไรที่โดดเด่นในไตรมาส 4/52 เติบโต 16% yoy และเพิ่มขึ้นถึง 124% qoq มาเป็น 1,071 ล้านบาท จึงมีการปรับประมาณการกำไรปี 53 ขึ้น 8% เป็น 3,037 ล้านบาท(3.79 บาท/หุ้น) จากปี 52 มีกำไร 2,868 ล้านบาท(3.58 บาท/หุ้น)

ผลประกอบการมีสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ต่อเนื่องมาในปีนี้ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะฟื้นตัวดีขึ้นทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

อีกทั้ง BIGC จะกลับมาเน้นการขยายสาขาอีกหลังจากเปิดสาขาไปเพียงแห่งเดียวในปี 52 ที่ศรีสะเกษ บริษัทคาดว่าจะเปิดสาขา 4 แห่งในปีนี้ โดยแห่งแรกจะเปิดที่มหาชัยในช่วงเดือน เม.ย.เริ่มเปิดสาขาขนาดเล็ก 1 แห่งมีพื้นที่ขาย 2,000 ตารางเมตร(ส่วนอีก 3 สาขาน่าจะเป็นขนาดกลางมีพื้นที่ขาย 6,000 ตารางเมตร)

บริษัทยังเน้นการบริหารสินค้าคงเหลือและระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมต้นทุน ในระยะยาวบริษัทเชื่อว่ายังมีช่องว่างในการเปิดสาขาได้อีกจำนวนมากจากปัจจุบันที่มีสาขา 67 แห่ง โดย BIGC ตั้งเป้าจะเปิดสาขา 4-5 แห่งต่อปีในช่วงปี 53-55 นอกจากนั้น BIGC ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจให้เช่าพื้นที่ควบคู่ไปกับธุรกิจขายสินค้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของรายได้และเพิ่มอัตรากำไร

"BIGC มีกระแสเงินสดและฐานะการเงินแข็งแกร่งโดยมีเงินสดสุทธิ 1,950 ล้านบาท (2.4 บาท/หุ้น) เทียบกับปี 51 ที่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.1 เท่า เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผล 1.65 บาท/หุ้นซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 3.7% อีกทั้งมีการปรับราคาเหมาะสมของหุ้นซึ่งประเมินด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดขึ้นเป็น 50 บาทจากการปรับประมาณการกำไร เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ "บทวิเคราะห์ระบุ

ส่วนบล.เอเซียพลัส มองว่า แผนกลับมาขยายสาขาของ BIGC เป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตในช่วง 2-3 ปีนี้ เพราะนอกจากจะช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายแล้ว ยังจะทำให้รายได้ค่าเช่าและรายได้อื่นๆ เติบโตอย่างมีนัยฯ(โดย ณ สิ้นปี 53 คาดมีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น 11,000 ตร.ม.เติบโต 3%yoy)จากปัจจัยบวกดังกล่าว บวกกับภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จึงคาดกำไรสุทธิปี 53 จะเติบโต 10%YoY และเติบโตต่ออีก 8%YoY ในปี 54

ขณะที่การมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 52 ไม่มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจ่ายเลย(Net Cash 4.7 พันล้านบาท) และยังมีกระแสเงินสดดำเนินงานกว่าปีละ 6 พันล้านบาท เพียงพอรองรับแผนลงทุนเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ 2 พันล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ