(เพิ่มเติม)EGCOตั้งงบลงทุนขั้นต่ำปีนี้ 6 พันลบ.,รายได้-กำไร Q1/53ดีขึ้นตาม"เคซอน"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 4, 2010 16:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวินิจ แตงน้อย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) เปิดเผยว่า ในปี 53 บริษัทได้เตรียมงบลงทุน ขั้นต่ำ 6 พันล้านบาท เพื่อลงทุนทั้งในโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) และโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ภายในประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 55 เมกกะวัตต์ ที่จ. ลพบุรี

และยังมีแผนลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมทุนในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือน เม.ย.53

นายวินิจ กล่าวอีกว่า บริษัทมีเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า 1 พันเมกะวัตต์ระหว่างปี 53-57 จากปัจจุบันมีกำลังการผลิต 4,252.34 เมกะวัตต์ โดยกำหนดงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีสัดส่วนการลงทุนในและต่างประเทศ อยู่ที่ 70 ต่อ 30 จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 90 ต่อ 10 และคาดว่าใน 5 ปีนี้บริษัทจะมีกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 5 พันล้านบาท

นางพิกุล ศรีศาสตรา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบริการองค์กร EGCO คาดว่า บริษัทจะมีรายได้และกำไรในไตรมาส 1/53 สูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 1/52 ที่มีกำไร 2.25 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าเควซอนในฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น หลังจากเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 26% จาก 23% ในเดือน มี.ค.52

ส่วนทั้งปี 53 คาดว่ารายได้และกำไรคงลดลงจากปีก่อนประมาณ 10% แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะทำได้ดีกว่าประมาณการ และบริษัทยังเชื่อมั่นว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ดีกว่าปี 52 ที่จ่ายในอัตรา 5.25 บาท/หุ้นหรืออาจจะมากกว่านั้น โดยที่ผ่านมาบริษัทมีการจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่องด้วย

ขณะที่นายวินิจ กล่าวว่า บริษัทมีแผนปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า 3 แห่งในช่วงปลายปีนี้ ได้แก่ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี, โรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 และ โรงไฟฟ้าขนอม ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดเครื่องโรงไฟฟ้าบนเรือที่ขนอม 2 ชุด ชุดละ 75 เมกกะวัตต์ รวม 150 เมกกะวัตต์ รองรับโรงแยกก๊าซของบมจ.ปตท.(PTT)ที่ขนอมที่จะต้องกลับมาเร่งเครื่องผลิต LPG เพื่อลดการนำเข้าหลังจากโรงก๊าซ 6 หลังไม่สามารถเดินเครื่องได้

นายวินิจ กล่าวเสริมว่า รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการน้ำเทิน 2 เต็มที่หลังจากเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในเดือน มี.ค.นี้ จากนั้นบริษัทก็จะเจรจาขอซื้อหุ้นในบริษัท NTPC ซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการน้ำเทิน 2 จาก บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์(ITD)ที่ถือหุ้นอยู่ 15% โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปในช่วงกลางปีนี้

ขณะนี้ EBS จากฝรั่งเศสที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน NTPC มีสิทธิซื้อหุ้นได้อีก 5% จากปัจจุบันถืออยู่ 35% ซึ่ง EGCO ซื้อในส่วนที่เหลือ 10% ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหุ้นในน้ำเทิน 2 เพิ่มเป็น 35%

"เราดูว่า ถ้าเป็นราคาที่เหมาะสมกับผลตอบแทนเราก็จะซื้อแต่ถ้าราคาสูงมากๆก็อาจจะไม่ซื้อ"นายวินิจ กล่าว

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศขณะนี้ได้เข้าไปศึกษาการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าที่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คาดว่าจะมีข้อสรุปผลศึกษาอย่างเร็วที่สุดเดือน เม.ย-พ.ค.53 และอย่างช้าภายในสิ้นปีนี้ เพราะบริษัทต้องการวิเคราะห์โครงการอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการลงทุน โดยเฉพาะในด้านกฎหมาย

นางพิกุล กล่าวว่า การขยายการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งที่ถือหุ้นอยู่ และการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศจะมาจากงบลงทุนที่ตั้งไว้ขั้นต่ำ 6 พันล้านบาทในปีนี้ โดยได้เตรียมเงินลงทุนไว้พร้อมแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีกระแสเงินสด 3 พันล้านบาทหลังจากจ่ายปันผลและคืนหนี้บางส่วนแล้ว

นอกจากนี้ยังมีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินอีก 4 พันล้านบาท ซึ่งจะครบกำหนดในปี 54 และบริษัทยังมีโอกาสกู้เงินได้เพิ่มเติมอีกราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.3 เท่า ซึ่งหากกู้ในวงเงินดังกล่าวก็จะทำให้ D/E เพิ่มเป็น 0.5 เท่า

"ถ้าเราเห็นโอกาสโครงการที่ดีและมีผลตอบแทนสูง เราก็จะเข้าไปเราไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุน"นางพิกุล กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ