นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC)กล่าวกับ "อินโฟเควสท์"ว่า ราคาหุ้น ADVANC ปรับลดลงมามาก เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น กรณีที่มีการดำเนินการสืบเนื่องจากคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ผู้บริหาร ADVANC กล่าวว่า บริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียึดทรัพย์ เพราะเป็นเรื่องของตัวบุคคล ขณะที่บริษัทยืนยันว่าปฏิบัติตามสัญญาสัมปทานทุกอย่าง และไม่เชื่อว่าการดำเนินการของภาครัฐที่สืบเนื่องจากคำพิพากษาจะไปถึงขั้นการยึดสัมปทาน โดยสามารถทำได้เพียงชี้แจงข้อเท็จจริง และให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมแผนรองรับสถานการณ์เพื่อต่อสู้ทางกฎหมายให้ถึงที่สุด ซึ่งหากมีการเข้าสู่กระบวนการทางศาลจริงก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ปี
"หน้าที่ผู้บริหารที่ทำได้ตอนนี้คือพูดความจริง ให้ความรู้ ความเชื่อมั่น ความเข้าใจ กันสถานะการเงินของบริษัท กฎหมาย คำพิพากษาของใคร ทำอย่างไร บริษัทไม่เกี่ยวข้อง และไม่ได้ทำผิดกฎหมาย"นายวิเชียร กล่าว
กรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าการการแก้ไขสัญญาสัมปทานไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)นั้น นายวิเชียร กล่าวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของบริษัท เพราะเป็นเรื่องของภาครัฐ ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงการคลังหรือกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)ก็ยังไม่ได้เรียกผู้บริหารเข้าพบเพื่อชี้แจง และโดยส่วนตัวมองว่าควรเรียกรัฐวิสาหกิจมาชี้แจงมากกว่า เพราะบริษัทไม่ใช่หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการดำเนินการต่าง ๆ ของภาครัฐไม่สามารถสรุปได้ในเวลาอันรวดเร็ว ยังต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้นักลงทุนตื่นตระหนกมากเกินไป และหากมีการดำเนินขั้นตอนทางกฎหมายจริงก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8 ปี เพราะกว่าจะผ่านกระบวนการวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการตามที่สัญญาสัมปทานกำหนดก็ต้องใช้เวลา 2 ปี จึงจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลแพ่งหรือศาลปกครอง อีกทั้งหากพิจารณาทั้ง 3 ศาลต้องใช้เวลาถึงราว 6 ปี ดังนั้น ไม่ควรด่วนสรุปหรือใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ
"บริษัทเชื่อว่ากรณีการแก้ไขสัญญาไม่เหมือนกับกรณีของ ไอทีวี เนื่องจากเราไม่ได้มีการทำผิดสัญญาสัมปทาน และไม่เชื่อว่าจะมีการยึดสัมปทาน"นายวิเชียร กล่าว
นายวิเชียร ยอมรับว่า บริษัทมามีความกังวลต่อการดำเนินการของภาครัฐ และได้มีการพูดคุยกันระหว่างผู้บริหารในกลุ่มบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น(SHIN)ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อเตรียมแผนรองรับ ซึ่งฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาอยู่ และหากมีการฟ้องร้องทางกฎหมายในอนาคต ก็ยอมรับว่าจำเป็นต้องมีการตั้งสำรองฯ ไว้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บริหารด้วย
นอกจากนั้น นายวิเชียร ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวลือว่าบริษัทจะไม่จ่ายปันผลในอัตราหุ้นละ 8.30 บาทว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด บริษัทยังคงดำเนินการจ่ายปันผลตามที่ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯไว้แล้ว