นายบี เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.คันทรี่กรุ๊ป (CGS) เปิดเผยว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นโบรกเกอร์อันดับ 1 โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 13-15% จากปี 52 ที่บริษัทติด 1 ใน 3 ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ 6%
บริษัทจะเน้นการขยายฐานลูกค้ารายย่อย การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆให้ลูกค้า และเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบัน ซึ่งปัจจุบันมีนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ 4 รายมาเปิดบัญชีกับบริษัท ซึ่งเป็นสถาบันการเงินต่างประเทศที่ยังไม่เคยมีการซื้อขายในประเทศ และบริษัทมีแผนขยายสาขาเป็น 60 แห่ง จากปัจจุบันอยู่ที่ 53 แห่ง เพื่อให้มีสาขาครอบคลุมลูกค้าทั่วประเทศ
นายบี คาดว่า ผลประกอบการปี 53 จะมีกำไรมากกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท ซึ่งครึ่งปีแรกของปี 52 บริษัทได้ล้างผลขาดทุนสะสมหมดแล้ว และช่วงครึ่งหลังปี 52 ยังสามารถทำกำไรได้ และเชื่อว่าปีนี้น่าจะยังทำกำไรได้ต่อเนื่อง หลังจากปรับเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการ และสาขาของบริษัทเกือบทุกแห่งสามารถสร้างผลกำไรได้ทั้งหมด หลังจากลดพื้นที่สาขาลง 50% และลดจำนวนพนักงานมาร์เก็ตติ้ง เหลือเฉพาะส่วนที่ทำกำไร ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายได้และส่งผลดีต่อการทำกำไรของบริษัท
นายบี กล่าวถึงการเจรจากับโบรกเกอร์ฮ่องกงเพื่อซื้อกิจการ ครึ่งแรกปีนี้คาดว่าน่าจะมีความชัดเจน เนื่องจากขณะนี้ยังติดสัญญาที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้
สำหรับพอร์ตการลงทุนของบริษัททุกเดือนยังสามารถสร้างผลกำไรได้ โดยมีการซื้อขายเฉลี่ย 100-125 ล้านบาท/วัน ยังไม่ต้องการเพิ่มพอร์ตการลงทุนมาก เพื่อไม่ต้องการให้มีความเสี่ยงสูงจากภาวะตลาด
ขณะที่ทิศทางการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทในปีนี้ มองว่าโบรกเกอร์อิสระที่ไม่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจน อาจต้องถูกควบรวมกิจการ โดยเฉพาะโบรกเกอร์ที่มีฐานลงทุนน้อย เพราะจะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง แต่ในส่วนของบริษัทมีฐานกองทุนสูงถึง 2,600 ล้านบาท มีความพร้อมในการแข่งขันได้เต็มที่และมีความได้เปรียบกว่าโบกเกอร์ที่มีเงินกองทุนต่ำ ซึ่งธุรกิจหลักทรัพย์หากหมดช่วงโปรโมชั่นค่าคอมมิชชั่นในช่วง 3 เดือน คงจะสะท้อนภาพธุรกิจที่ชัดเจนมากขึ้น