นายสมยศ ฐิติสุริยารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี(AGE)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การประชุมคณะกรรมการบริษัทวันนี้จะได้มีการเสนอแผนการลงทุนขนาดกลางเพื่อลดขั้นตอนการขนส่ง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน หากคณะกรรมการอนุมัติจะช่วยลดต้นทุนได้ 3-4% ของยอดขาย และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ทันที แต่จะมีในการลดต้นทุนด้านขนส่งในช่วงกลางปี 54 และจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้น
"ถ้าโครงการนี้ใช้งานได้ตั้งแต่ต้นปี จะไป save ค่าใช้จ่ายได้ 3-4% แต่หากเริ่มโครงการกลางปี จะลดค่าใช้จ่าย 1.5-2% แต่ปี 55 หากมีผลเต็มปี จะลดค่าใช้จ่ายได้เต็ม 3-4% ซึ่งมองว่าเป็นการช่วยลดต้นทุนที่สูง" นายสมยศ กล่าว
นายสมยศ กล่าวอีกว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าหมายปริมาณขายถ่านหินจำนวน 1.2 ล้านตัน และรายได้เติบโต 20% จากปีก่อน โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาถ่านหินมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น เห็นได้จากช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ยอดขายถ่านหินเติบโตตามเป้าแล้วที่ 20% หรือมีปริมาณกว่า 2 แสนตัน คิดเป็นมูลค่า 400 ล้านบาท ซึ่งอีก 1 เดือนของไตรมาสนี้ คาดว่าจะทำยอดขายได้เพิ่มอีก 200 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดขายไตรมาส 1/53 เกินกว่า 600 ล้านบาท
ดังนั้น น่าจะทำให้กำไรสุทธิไตรมาส 1/53 ออกมาดีกว่าไตรมาส 4/52 เนื่องจากมีปริมาณขายถ่านหินมากขึ้น และมาร์จิ้นสูงขึ้น
อีกทั้งทิศทางราคาถ่านหินยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับบรรยากาศการลงทุนทุกด้านดีขึ้นกว่าปีก่อน จึงคาดว่าจะช่วยส่งเสริมการดำเนินธุรกิจการลงทุนให้ดีต่อเนื่องถึงไตรมาส 2/53 ที่ยังมองว่าราคาถ่านหินน่าจะยังปรับขึ้นได้เล็กน้อย
ปัจจุบัน บริษัทมีสต็อกถ่านหิน 4 แสนตัน โดย 3 แสนตันเก็บเข้าสต็อก ส่วนอีก 1 แสนตันอยู่ระหว่างขนส่ง
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า ขณะนี้มีความกังวลต่อการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีผลต่อภาคธุรกิจ เพราะส่งผลให้ภาคเอกชนไม่กล้าตัดสินใจลงทุน จากสภาวะปัจจุบันที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เมื่อมีเหตุการณ์ทำให้สะดุดลงจะทำให้เสียบรรยากาศการลงทุนได้ เพราะผู้บริโภคจะไม่กล้าใช้จ่าย ภาคเอกชนไม่กล้าลงทุน และกระทบต่อการใช้เชื้อเพลิงที่ไม่ได้เต็มที่ตามไปด้วย ดังนั้น คงต้องจับตาสถานการณ์หลังวันที่ 14 มี.ค.53 โดยเฉพาะหากเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นปิดสนามบินอีกจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น