บมจ.ทีกรุงไทย(TKT)คาดว่ารายได้ในปี 53 เติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่คาดว่าจะโต 15% เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศฟื้นตัวได้ดีขึ้น โดยเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจากปลายปีก่อน ซึ่งทำให้รายได้และกำไรสุทธิในไตรมาส 1/53 ดีขึ้นจากไตรมาส 4/52 ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุน 160 ล้านบาทในปีนี้เพื่อขยายเครื่องจักรและขยายพื้นที่เพื่อรองรับออร์เดอร์ที่เข้ามาเพิ่มขึ้น ส่วนการเจรจาเพื่อหาพันธมิตรใหม่เข้ามานั้น แม้ว่าที่ผ่านมาบริษัทจะมีการพูดคุยกับผู้ที่สนใจอยู่บ้าง แต่คาดว่าในปีนี้คงยังไม่มีข้อสรุป อาจจะได้เห็นในช่วงปี 54-55
นายจุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ TKT คาดว่า ในปีนี้บริษัทจะมีรายได้เติบโตมากกว่าเป้าหมาย หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เนื่องจากสัญญาณอุตสาหกรรมยานยนต์ปรับตัวดีขึ้น โดยประเมินว่าปีนี้ประเทศไทยจะมียอดการผลิตรถยนต์เพิ่มเป็น 1.4 ล้านคัน เป็นการฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจและส่งผลให้บริษัทมีคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ ขณะที่การผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมการรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งการขยายพื้นที่ของโรงงานและการลงทุนเครื่องจักรใหม่ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 160 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 1.4 พันล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเพิ่มกำลังการผลิตได้ในเดือน ส.ค.53 และจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าวจะช่วยรองรับการเติบโตของบริษัทได้ในปี 53-54
"ปีนี้น่าจะเป็นปีที่สูงสุดอีกครั้ง และเป็นปีที่ดีแต่ก็เป็นปีที่เหนื่อยเหมือนกัน เพราะเรายังไม่รู้ว่าภาพเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะออกมาอย่างไร ความเสี่ยงจะมากน้อยแค่ไหน เพราะเมื่อตลาดรถยนต์ใหญ่ขึ้น การแข่งขันก็มากขึ้นด้วย แต่บริษัทได้มีการวางแผนในระยะกลางถึงระยะยาวไว้ โดยเฉพาะการหาพันธมิตรที่ยังคงดำเนินการอยู่" นายจุมพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายจุมพล กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้มีปัจจัยที่สร้างความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอาจฟื้นตัวไม่ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งอาจจะส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ไม่ถึง 1.4 ล้านคันตามที่ประเมินไว้ ซึ่งปกติ ความสามารถการเติบโตของบริษัทจะเติบโตใกล้เคียงอุตสาหกรรม ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเติบโตถึง 40%
นายจุมพล กล่าวอีกว่า สำหรับการหาพันธมิตรทางธุรกิจ คงจะเกิดขึ้นในปี 54-55 เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจและเป็นการรองรับการแข่งขันที่จะมากขึ้น เพราะการมีพันธมิตรใหม่จะช่วยสนับสนุนเทคโนโลยีและบุคลากรที่มากขึ้น แม้ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่บริษัทยังสามารถเดินหน้าธุรกิจได้