โบรกเกอร์เห็นพ้องคงเป้าดัชนี SET ปี 53 ไว้ในกรอบ 750-900 จุดตามเดิม แม้ตลาดหุ้นไทยจะมีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยการเมืองในช่วงนี้ ซึ่งอาจมีผลกระทบงบลงทุนของภาครัฐ และการค้าระหว่างประเทศให้ชะลอตัวลงในครึ่งหลังปีนี้ แต่หลายโบรกฯก็ได้มีการประเมินดัชนี SET และตัวเลข GDP ที่ตอบรับปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองไว้ในประมาณการแล้ว
อีกทั้งหุ้นไทยเวลานี้ถือได้ว่ายัง Laggard อยู่เมื่อเทียบกับตลาดอื่น, ทิศทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี, ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาในทิศทางที่ดีขึ้น และตลาดฯยังมีโอกาสที่จะได้รับแรงหนุนจากเม็ดเงินที่ย้ายจากตลาดพันธบัตรไปสู่ตลาดหุ้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นได้
อย่างไรก็ดี ช่วงนี้มองตลาดฯคงจะอยู่ในลักษณะของการแกว่ง Sideway Down และไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเข้ามารับความเสี่ยงจากปัจจัยการเมือง จึงแนะให้ชะลอการลงทุน
โบรกเกอร์ เป้าดัชนี SET ปี 53(จุด) คาดการณ์ EPS ปี 53(%) คาดการณ์ GDP ปี 53(%) Deutsche Bank 837 11.6 - บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) 860 10-15 4.4 บล.เอเชีย พลัส 820 13 3.0 บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) 810 12 3.0 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)848 11 4.7 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) 850-900 14 4.5 บล.ภัทร 850 20 3.8 บล.บีฟิท 750,580-585 - - บล.เกียรตินาคิน 850-550 - 3.5 บล.พัฒนสิน 832 - -
Deutsche Bank คงเป้าหมายดัชนี SET ที่ 837 จุด โดยคาดว่า EPS จะเติบโต 11.6%YoY พร้อมคาดว่าความเสี่ยงทางการเมืองอาจกระทบงบลงทุนของภาครัฐและการค้าระหว่างประเทศให้ชะลอตัวลงในครึ่งหลังปี 53
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ยังคงเป้าดัชนี SET ไว้ที่ 850-550 จุด ส่วนตัวเลข GDP ของไทยปีนี้ก็คาดว่าจะเติบโต 3.5% ซึ่งเป้าหมายดัชนีฯที่มองไว้นี้ได้มีการรวมถึงประเด็นทางการเมืองไว้อยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงและคดียึดทรัพย์
ในช่วงตรงกลางนี้ก็ได้มองกรอบดัชนี SET ไว้ที่ 750-650 จุด ซึ่งตอนนี้ตลาดฯยังอยู่ในกรอบที่ประเมินไว้ แม้ว่าปัจจัยการเมืองได้เข้ามามีผลต่อตลาดฯ ทำให้ช่วงนี้มีแรง take profit ออกมาบ้าง แต่ก่อนหน้านี้ตลาดฯก็ได้ปรับตัวขึ้นไปมากพอควรเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ก่อนวันที่ 12-14 มี.ค.นี้มองว่าตลาดฯน่าจะแกว่งตัวในลักษณะซึมและอ่อนตัวลงมาที่ 710 จุด ซึ่งช่วงนี้ถ้าดัชนี SET มีการรีบาวน์ขึ้นไปแถว 720-725 จุด ก็ควรจะปรับลดพอร์ตลงทุนในหุ้นลงเหลือแค่ 25% ก็พอ และหลังจากวันที่ 14 มี.ค.ก็จะมาประเมินสถานการณ์กันอีกที
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ขณะนี้ยังคงเป้าดัชนี SET ของปีนี้(53)ไว้เท่าเดิมที่ 832 จุด แต่มองระยะ 6 เดือนแรกของปีนี้โอกาสเป็นไปได้สูงที่ดัชนีจะมีความผันผวนทั้งการปรับตัวขึ้นและลง ซึ่งในส่วนของปรับตัวลงมองที่ประเด็น Credit Crisis ของต่างประเทศและปัญหาในประเทศเรื่องของการเมือง
ส่วนโอกาสที่ดัชนีฯจะมีการปรับตัวขึ้น ก็น่าจะมาจากเม็ดเงินที่ย้ายจากตลาดพันธบัตรมาสู่ตลาดหุ้นในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ถ้าหากดอกเบี้ยขึ้นสูงมากก็อาจจะทำให้ดัชนีฯลดช่วงของการปรับตัวขึ้นได้ เพราะคนจะนำเงินไปฝากมากขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงนี้ก็ได้แนะนำให้ลงทุนในหุ้นพวก Defensive ที่อิงกับเศรษฐกิจ อย่างกลุ่มแบงก์, เกษตร, อาหาร และค้าปลีก แต่ในช่วงไตรมาส 2/53 ก็ควรจะเน้นหุ้นในกลุ่มอิเลคโทรนิคส์ และพวกสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity)
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า เวลานี้ยังไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรมาทำให้ต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมายดัชนี SET คงมองเป้าเดิมที่ 860 จุด และ EPS คาดเติบโต 10-15% ส่วนตัวเลข GDP ก็คาดจะเติบโต 4.4%
ในส่วนประเด็นทางการเมืองก็ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงที่จะรุนแรง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลจะป้องกันได้มากแค่ไหน ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนให้ขายออกมาหลายวันแล้ว และถ้าไม่รุนแรงก็ค่อยกลับเข้ามาซื้อก็ได้ ช่วงนี้มองตลาดฯคงจะอยู่ในลักษณะของการแกว่ง Sideway Down และไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเข้ามารับความเสี่ยงของตลาดหุ้น จึงแนะให้ชะลอการลงทุน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ยังคงมองเป้าหมายดัชนี SET ของปีนี้(53)ไว้ที่ 820 จุด คาดการณ์ EPS เติบโต 13% และตัวเลข GDP ของไทยเติบโต 3% ซึ่งมองปัจจัยการเมืองเป็นความเสี่ยงระยะสั้นเท่านั้น จึงไม่มีผลต่อเป้าดัชนีฯที่วางไว้ เนื่องจากยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางที่ดีอยู่
"ช่วงนี้ตลาดฯอาจจะมีความผันผวนได้ตลอดสัปดาห์ เพราะยังไม่มีความไว้วางใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง แต่ก็ยังคงแนะนำให้ซื้อเมื่อดัชนีฯปรับตัวลงมาที่แนว 710 จุด"นายเทิดศักดิ์ กล่าว
น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตอนนี้ยังมองเป้าดัชนี SET ไว้ที่เดิม 810 จุด คาด EPS โต 12% และตัวเลข GDP โต 3% ซึ่งปัจจัยการเมืองเป็นเรื่องที่มองไว้อยู่แล้ว ว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้นในปีนี้(53)และจะสร้างความกังวลอยู่เรื่อย ๆ เพราะคงจะเข้ามาเป็นระยะ ๆ และด้วยปัจจัยการเมืองนี้ ก็ยังไม่เห็นเหตุผลที่จะทำการปรับเป้าดัชนีฯ
ทั้งนี้ หุ้นไทยเวลานี้ถือได้ว่า Laggard อยู่เมื่อเทียบกับตลาดอื่น เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในทางการเมือง มองว่าตลาดฯยังก็ปรับตัวขึ้นได้ เพราะปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ และมองว่าแนวโน้มตลาดฯในปีนี้น่าจะดีขึ้นจากปีก่อนด้วยซ้ำ ซึ่งผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาก็ดีขึ้น ตรงนี้ถ้าจะมีการปรับดัชนี SET ก็น่าจะปรับขึ้นมากกว่า
นางสาวถนอมศรี ฟองอรุณรุ่ง นักเศรษฐศาสตร์ บล.ภัทร กล่าวว่า บริษัทฯได้มองเป้าดัชนี SET ปีนี้(53)ไว้ที่ 850 จุด โดยคาดว่า EPS จะเติบโต 20% ส่วนตัวเลข GDP ของไทยปีนี้คาดว่าจะเติบโต 3.8% ซึ่งได้รวมเรื่องสถานการณ์การเมืองไว้แล้ว เพราะหากไม่มีเรื่องการเมือง การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้ดีกว่าที่ประมาณการไว้ อย่างไรก็ดี ทิศทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ละบริษัทจดทะเบียนยังมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นได้