บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT)เชื่อว่ากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะเติบโตได้มากกว่ารายได้ที่จะเติบโตราว 12-15% โดยบริษัทมีแผนจะใช้งบลงทุนราว 4.5-5.0 พันล้านบาท ขยายธุรกิจอาหาร โรงแรม และเรสซิเดนท์เชียล ขณะที่งานรับบริหารโรงแรมนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าบริหารโรงแรมเพิ่มอีก 2-3 แห่ง
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้ แต่จะระดมเงินทุนจากแหล่งอื่น
นางสาวประภารัตน์ ตังควัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน MINT คาดว่า กำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตมากว่าอัตราการเติบโตของรายได้ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 17,291 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจเรสซิเดนเชียล ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีกำไรสูง และธุรกิจโรงแรมทั้งในลักษณะการเข้าลงทุนและการรับบริหาร ซึ่งในปีนี้จะมีทั้งหมด 34 แห่งจากปี 52 จำนวน 31 แห่ง
ขณะที่ในส่วนของรายได้ บริษัทมองว่าจะเติบโตจากปีก่อน เพราะสถานการณ์ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวส่งผลให้ทั้งสองธุรกิจหลักในปีนี้จะการขยายตัวดีขึ้น ซึ่งสัดสวนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็น 45-50% มาจากธุรกิจอาหาร ,ธุรกิจโรงแรม 30-35%, ธุรกิจรีเทลเทรดดิ้ง 10-12% และ ธุรกิจเรสซิเดนเชียล 5%
ทั้งนี้ หากประเมินรายได้จากธุรกิจโรงแรมในปีนี้คาดว่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อน โดยพบว่าอัตราการเข้าพักโรงแรม(Occupancy rate)ปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นมาที่ 65% จากปีก่อนไม่ถึง 60% โดยเฉลี่ยทั้งปีประเมินว่าจะอยู่ระดับ 60-65% ถึงแม้ว่าพฤติกรรมการในจองห้องพักจะสั้นลง ขณะเดียวกันบริษัทยังมีรายได้จากการรับบริหารโรงแรมเข้ามาเสริม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 3-4 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นางสาวประภารัตน์ กล่าวถึงธุรกิจเรสซิเดนเชียลว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 800-1,000 ล้านบาท จากจำนวน 8 ยูนิต โดยจะแบ่งเป็นการรับรู้ฯในไตรมาส 4/53 ประมาณ 400-500 ล้านบาทในโครงการ The Estates Samui และโครงการ St.Regis ที่ตั้งเป้าขายได้ประมาณ 4 ยูนิตแรก ส่วนยูนิตที่เหลือตอนนี้มีผู้สนใจติดต่อเข้ามาแล้ว โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 65-200 ล้านบาท/ยูนิต
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อแบรนด์อาหารใหม่และลงทุนเพิ่มในธุรกิจโรงแรม ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 2-3/53 โดยบริษัทมีความพร้อมด้านการเงิน แต่การซื้อนั้นจะต้องมีความคุ้มค่าในแง่ผลตอบแทนที่ดี
"เราได้ให้ความสำคัญในแง่ของกำไรสุทธิมากว่ารายได้ เพราะเป็นการยืนยันการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว แม้ธุรกิจเราจะมีอนาคตมาก โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและธุรกิจเรสซิเดนเชียลที่เข้ารับบริหารโรงแรมที่ UAE เพิ่มอีก 2 โรงแรม เป็นต้น และยิ่งตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจก็ดีขึ้น แต่การเมืองคงจะต้องติดตามและเฝ้าระวัง" นางสาวประภารัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทได้เตรียมเงินลงทุนไว้ประมาณ 4.5-5 พันล้านบาทใช้สำหรับธุรกิจโรงแรมประมาณ 2,000 ล้านบาท และใช้ในธุรกิจอาหารประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะเพิ่มสาขาร้านอาหาร และอีก 1,000 ล้านบาทใช้ในส่วนของเรสซิเดนเชียล
ส่วนการระดมทุน คงยังไม่มีความจำเป็นออกหุ้นกู้ในปีนี้ เพราะยังมีวงเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ประมาณ 6 พันล้านบาท ขณะที่มีเม็ดเงินอีกประมาณ 3 พันล้านบาทจากแปลงสภาพวอร์แรนต์ในเดือนเม.ย.จำนวน 327 ล้านหุ้น ซึ่งเพียงพอต่อการรองรับในการดำเนินงานในอนาคต และยังเป็นการรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ไว้ที่ 1 เท่าด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น ขณะที่การจ่ายปันผลในงวดปีนี้ก็เชื่อว่าจะสามารถจ่ายในอัตราที่สูงกว่าปีที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้น