ผู้บริหารกลุ่ม บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น(SHIN) แถลงว่ากลุ่ม SHIN ได้ทำธุรกิจตามสิทธิและสัญญาที่มีอยู่กับคู่สัญญา โดยยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมายและทำธุรกิจเลยสิทธิที่ได้รับ บริษัทในฐานะเป็นคู่สัญญากับภาครัฐนั้น หากมีกรณีความเสียหายเกิดขึ้นก็จะต้องมีขั้นตอนในการเจรจาพูดคุยกันก่อน คงจะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ โดยรวบรัด หรือกระทำโดยพลการเพียงฝ่ายเดียวได้
"สิ่งที่บริษัททำอยู่เรามั่นใจว่าเราทำถูกต้องตามกฎหมาย"นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร SHIN กล่าวในการแถลงข่าว
ส่วนคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้มีผลทำให้บริษัทและบริษัทในเครือต้องไปดำเนินการใด ๆ เนื่องจากไม่ใช่คู่กรณีในคดีดังกล่าว
นายสมประสงค์ กล่าวยืนยันว่า เทมาเส็กที่ถือหุ้นใหญ่ใน SHIN ไม่เคยบอกหรือติดต่อจะขายธุรกิจหรือกิจการในกลุ่ม SHIN ส่วนการเดินทางไปสิงคโปร์เมื่อวันที่ 1-2 มี.ค.ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไปพบกับเทมาเส็ก แต่เดินทางไปพบธนาคารเจ้าหนี้จำนวนมากที่ได้นัดล่วงหน้าก่อนศาลจะกำหนดจะมีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ พร้อมได้อธิบายและชี้แจงว่าบริษัทไม่ได้รับผลแต่อย่างใด รวมถึงผลประกอบการและแนวทางการดำเนินธุรกิจ
"ผมไปสิงคโปร์ เมื่อวีนที่ 1 มีนาคม ที่ได้นัดกับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งทำเป็นประจำปีอยู่แล้ว และได้อธิบายผลประกอบการ และผลคำตัดสินของศาล ผมไม่ได้ไปคุยหรือพบกับผู้ถือหุ้น (เทมาเส็ก) ผู้ถือหุ้นไม่ได้ติดต่ออะไร และเราก็จะทำธุรกิจไปเรื่อยๆ"นายสมประสงค์ กล่าว
และหลังมีคำตัดสินฯเมื่อ 26 ก.พ.ทีผ่านมา ยังไม่มีการเรียกประชุมคณะกรรมการ SHIN แต่อย่างใด
ทั้งนี้ กองทุนเทมาเส็กได้เข้ามาซื้อหุ้น SHIN เมื่อ ม.ค. ปี 49 โดยใช้เงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 1.4-1.5 แสนล้านบาท ขณะที่เทมาเส็ก เพิ่งได้รับเงินปันผลจากบริษัทในปี 50-52 เฉลี่ยปีละประมาณ 6.2 พันล้านบลาท หรือประมาณ 1.8-2.0 หมื่นล้านบาท
นายสมประสงค์ กล่าวว่า SHIN เป็นบริษัทโฮลดิ้ง และเตรียมขยายธุรกิจใหม่ในกลุ่มโทรคมนาคม และ มีเดีย ซึ่งได้ได้มีการศึกษาอยู่ และคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมภายในปีนี้ และดำเนิ้นการได้ตามแผน
ADVANC-THCOM ไม่ได้ทำผิดสัญญา
นายสมประสงค์ ชี้แจงประเด็นการปรับสัญญาจ่ายส่วนแบ่งรายได้แบบพรีเพดระหว่าง บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) กับ บมจ.ทีโอที นั้นเป็นไปด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย โดยเริ่มจากที่ ADVANC เข้าไปเสนอให้กับทีโอที และเมื่อทีโอทีเห็นด้วยที่จะลดส่วนแบ่งเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้บริการ โดยได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการ ทีโอที แล้ว จึงได้มีการเซ็นสัญญาใหม่ รวมถึงการโรมมิ่ง เป็นข้อตกลงระหว่างสองเครือข่าย
ส่วนการเก็บภาษีสรรพาสามิตแทนการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งนั้น เชื่อว่าภาครัฐก็ไม่ได้เสียหาย เพียงแต่เมื่อมีการเปลี่ยนผู้กำกับดูแลเป็นคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) จากเดิมที่เป็น ทีโอที และ บมจ.กสท โทรคมนาคม ครม.สมัยนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่บริษัทก็ยังคงจ่ายส่วนแบ่งรายได้เท่าเดิม
สำหรับ บมจ.ไทยคม(THCOM)นายสมประสงค์ กล่าวว่า ไทยคมได้ปฏิบัติตามขั้นตอน โดยได้รับอนุมัติจากภาครัฐก่อนดำเนินการ ไม่ได้ทำล่วงหน้า โดยบริษัทได้ยิงดาวเทียวมไทยคม 1 , ไทยคม 2 , ไทยคม 3 และ ไทยคม 4 ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อ ไอพีสตาร์
"ไม่มีอะไรที่ทำผิดขั้นตอน ไทยคม 4 ได้เกิดเทคโนโลยี เราจึงหารือกระทรวงฯ ศึกษาร่วมกันและได้ขออนุมัติจากกระทรวง จึงได้ยิงดาวเทียมไทยคม 4 ไม่ใช่ยิงก่อนอนุมัติ"นายสมประสงค์ กล่าว
อนึ่ง ไทยคม เป็นคู่สัญญากับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสานเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)
ขณะที่ประเด็นทางธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยปล่อยกู้ให้กับประเทศพม่า 4 พันล้านบาทนั้น บริษัทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ โดยประเทศพม่า ที่เคยเป็นลูกค้าไทยคมก่อนหน้า ได้ใช้บริการไทยคม 4 จำนวนเพียง 320 ล้านบาทเท่านั้น
แม้ว่าขณะนี้ ทีโอทีจะตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบความเสียหายจากแก้ไขสัญญาของ ADVANC บริษัทก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากภาครัฐ และเป็นเรื่องที่ต้องมีการเจรจาระหว่างคู่สัญญาด้วยกัน ซึ่งมีแนวทางทั้งการตั้งอนุญาโตตุลาการ และ การฟ้องศาล และบริษัทยังไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองแต่อย่างใด เพราะวันนี้ยังไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น
"การเรียกร้องค่าเสียหาย เรายินดีรับฟัง และพร้อมหารือ ผมเชื่อมั่นว่าประเทศเรามีความยุติธรรม ...เรื่องนี้จะต้องมีการเจรจาด้วยเหตุด้วยผล" นายสมประสงค์ กล่าว
*เอไอเอส โวยโดนบล็อกสัญญาณ
ด้านนายวิเชียร เมตระการ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ADSVANC กล่าวว่า ทุกสัญญาของ ADVANC ไมได้ถูกยกเลิก ขณะนี้บริษัททำตามกฎปฏิบัติ และบริษัทมีความสามารถดำเนินการได้ดี พิสูจน์ได้จากผลประกอบการ ไม่ใช่ธุรกิจดีเพราะได้เปรียบเรื่องสัญญา ขณะที่ นายสมประสงค์ กล่าวเสริมว่า เอไอเอสไม่ซ้ำรอยเหมือนกรณี บมจ.ไอทีวี เพราะไม่ได้ทำผิดสัญญาอะไร
"การเปิดแถลงข่าววันนี้ ถือว่าลดความเสี่ยง จะไปฟังว่าเขาบอกอย่างนี้ เขากล่าวว่าอย่างนันไม่ได้" นายวิเชียรกล่าว
นายวิเชียร ยังกล่าวว่า วานนี้ได้มีผู้ใช้บริการเข้ามาร้องเรียนสัญญาณไม่ชัดเจนหรือ โทรเข้าออกไม่ออกเป็นเวลาประมาณ 1 ชม.ซึ่งยังไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจน แต่อาจจะมาการใช้ในพื้นที่เดียวกันหนาแน่นก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม หากหน่วยงานราชการต้องการบล็อกสัญญาณเพื่อความมั่นคงก็ไม่ควรเลือกปฏิบัติ
นายวิเชียร กล่าวว่า บริษัทพร้อมจะต่อสู้จนถึงที่สุด หากคู่สัญญามีการเรียกร้องค่าเสียหายจากกรณีการแก้ไขสัญญาและข้อตกลงต่าง ๆ ที่มีมาในอดีต
"ผมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นจะใช้กระบวนการยุติธรรมในการเก้ไขจปัญหา หากมีปัญหาที่สัญญาย่อย ก็จะต้องมีการตีความโดยอนุญาโตตุลาการเหมือนที่ผ่านมาเรามีปัญหาเรื่องภาษีสรรพสามิตก็อยู่ระหว่างการตีความของอนุญาโตตุลาการ แต่ขณะนี้เรายังไม่ได้มีคดีความที่เกิดขึ้นกับคู่สัญญาจึงไม่ต้องการให้ใครมาตัดสินใจและคาดการณ์ล่วงหน้า"นายวิเชียร กล่าว