ตลท.เผย ก.พ.53 ดัชนี SET ปรับสูงขึ้นตามภาวะศก.-เม็ดเงินลงทุนจาก ตปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 10, 2010 17:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)รายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์เดือน ก.พ.53 ว่า ดัชนี SET ปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า จากปัจจัยบวกด้านตัวเลขเศรษฐกิจที่สะท้อนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย และจากเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ ส่งผลให้ดัชนีปรับสูงขึ้นในอัตราที่สูงกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค

ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีปัจจัยบวกในประเทศสนับสนุน เช่น รายงานการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยงวดไตรมาส 4/52 ที่กลับมาขยายตัว รวมถึงบริษัทจดทะเบียนส่วนหนึ่งได้ประกาศจ่ายเงินปันผลและรายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 4/52 และงวดปี 52 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนหน้า

SET Index ปรับสูงขึ้นและปิดที่ระดับ 721.37 จุด เพิ่มขึ้น 3.56% จาก ณ สิ้นเดือน ม.ค.53 ขณะที่ดัชนี mai ปิดที่ 212.16 จุด เพิ่มขึ้น 1% มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 5,542,281.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.14%

สำหรับอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ ณ เวลาปัจจุบันและกำไรสุทธิต่อหุ้นคาดการณ์(Forward P/E Ratio)ของไทย ณ สิ้นเดือน ก.พ.53 อยู่ที่ 10.9 เท่า ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 10.5 เท่า ณ สิ้นเดือน ม.ค.53 และเพิ่มขึ้นจากระดับ 7.7 เท่า ณ สิ้นเดือน ก.พ.52

ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ เดือน ก.พ.53 มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวันค่อนข้างต่ำเนื่องจากวันหยุดเทศกาลตรุษจีนในช่วง กลางเดือนและนักลงทุนบางส่วนอาจชะลอการซื้อขายเพื่อรอความชัดเจนของพัฒนาการด้านการเมือง อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายปรับสูงขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ส่วนหนึ่งจากการที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้ 9 โครงการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดซึ่งเป็นโครงการของบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์สามารถดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้

การซื้อขายหลักทรัพย์ใน SET และ mai มีมูลค่ารวม 284,906.15 ล้านบาท มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยรายวัน 14,245.31 ล้านบาท ลดลง 25.13% จาก ม.ค.53 แต่ เพิ่มขึ้น 91.42% เมื่อเทียบกับ ก.พ.52 เมื่อพิจารณามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์รวมของ SET และ mai แยกตามประเภทนักลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างประเทศมีบทบาทในการซื้อขายมากขึ้น โดยมีสัดส่วนของมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นจาก 21.95% ใน ม.ค.53 เป็น 23.62% และเปลี่ยนสถานะจากการขายสุทธิต่อเนื่อง 3 เดือนตั้งแต่เดือน พ.ย.52 เป็นผู้ซื้อสุทธิด้วยมูลค่า 5,410.87 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายบุคคลทั่วไปมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 10,858.47 ล้าน และมีสัดส่วนมูลค่าซื้อขายลดลงมาอยู่ที่ 53.28% นักลงทุนสถาบันในประเทศมีสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิด้วยมูลค่า 5,844.84 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์เป็นผู้ขายสุทธิด้วย มูลค่า 397.24 ล้านบาท สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์แยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า สัดส่วนมูลค่าการซื้อขายในกลุ่มพลังงาน อยู่ที่ 32.91%และธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 23.70% ตามลำดับ ซึ่งค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบ ม.ค.53 ส่วนมูลค่าการซื้อขายในกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นจาก 4.51% ในเดือน ม.ค.53 เป็น 7.60% จากการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนใหม่ คือ บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL)

ภาวะตลาดอนุพันธ์ ปริมาณสัญญาซื้อขายเฉลี่ยรายวันเพิ่มขึ้นจาก 7.79% ปัจจัยสำคัญมาจากปริมาณการซื้อขายของโกลด์ฟิวเจอร์ส(Gold Futures)ที่เพิ่มขึ้นตามความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์รวม 280,128 สัญญา ขณะที่มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 14,009 สัญญา เพิ่มขึ้นจากจำนวน 12,997 สัญญา ในเดือน ม.ค.53 นอกจากนี้ และ Gold Futures ทำสถิติปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันสูงสุดใหม่ที่ 3,956 สัญญา เทียบกับปริมาณสูงสุดเดิมในเดือน ธ.ค.52

ภาพรวมด้านการระดมทุนในรูปตราสารทุนในเดือน ก.พ.53 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าราว 4 เท่า จากการเข้าจดทะเบียนใหม่ของ IVL ขณะที่การระดมทุนในตลาดรองยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดย ก.พ.53 มีมูลค่าการระดมทุนรวมทั้งหมด 5,491 ล้านบาท โดยเป็นการระดมทุนในตลาดแรก 4,692 ล้านบาท จากการเข้าจดทะเบียนของ IVL

และมีมูลค่าการระดมทุนในตลาดรองมูลค่า 799 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการระดมทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและรองรับการรับงานใหม่ของ บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) มูลค่า 266 ล้านบาท และระดมเงินทุนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและชำระเงินกู้ยืมของ บมจ.ไทยฟิล์มอินดัสตรี่ (TFI) มูลค่า 300 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ