นายพิธาน องค์โฆษิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.เคซีอี อิเล็กทรอนิคส์ (KCE) คาดว่า ในปี 53 บริษัทจะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 174 ล้านบาท เป็นผลจากยอดขายของบริษัทที่เติบโตเพิ่มเป็น 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,920 ล้านบาท จากปี 52 ที่มียอดขาย 168 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5,752 ล้านบาท ประกอบกับ บริษัทตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรสุทธิ 9.4% และอัตรากำไรขั้นต้น คาดว่าจะสูงกว่า 23% ในปีก่อน
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/53 คาดว่าจะมียอดขาย 58 ล้านดอลลาร์ เติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 4/52 ที่มียอดขาย 50 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าไตรมาส 2/53 จะมียอดขายเพิ่มเป็น 60 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยอดขายที่เติบโตมาจากลูกค้าใหม่ และลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงตลาดญี่ปุ่นที่เติบโตขึ้น
"ในไตรมาส 1 ปีนี้เราจะกลับไปมียอดขายสูงสุดเหมือนที่เคยทำได้ในปี 51 โดยคาดว่าจะมีออร์เดอร์จากลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 15-20% ของยอดขาย ส่วนโรงงานที่บางปู(KCEI)จะเริ่มเดินเครื่อง 100% จากที่เพิ่งเปิดการผลิตใหม่เมื่อต้นปีนี้"นายพิธาน กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้พยายามลดความเสี่ยงทุกด้านทั้งต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะโลหะทองแดง โดยได้ทำประกันความเสี่ยงราคาทองแดง 300 ตันไว้ที่ราคา 6,300 ดอลลาร์/ตัน จากราคาตลาด 7,500 ดอลลาร์/ตัน แต่ก็มองว่าราคาทองแดงคงปรับขึ้นสูงขึ้นอีกไม่มากนัก เนื่องจากยังมีซัพพลายในตลาดโลกค่อนข้างมาก โดยบริษัทใช้ทองแดงเป็นวัตถุดิบในการผลิต 300 ตัน/เดือน
ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้น การแข็งค่าของเงินบาทมีผลกระทบต่อยอดขาย แต่บริษัทได้มีการสั่งซื้อวัตถุดิบเป็นสกุลดอลลาร์ คิดเป็น 50% จึงจะกระทบยอดขายครึ่งหนึ่ง โดยบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยงไว้แล้ว โดยประเมินว่า สิ้นปี 53 เงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์ จากปีก่อนเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 33 บาท/ดอลลาร์ โดยในไตรมาส 1/53 ที่เงินบาทแข็งค่ามาที่ 32.70 บาท/ดอลลาร์ แต่บริษัทได้ลดต้นทุนทุกด้าน เพื่อช่วยชดเชยส่วนนี้ได้ และทั้งปี 53 ตั้งเป้าลดต้นทุนทั้งหมดให้ได้ 3%
"สิ่งที่เรากลัวคือเงินบาท เพราะกลุ่มบริษัทไม่สามารถทำอะไรได้มาก อย่างไรก็มีผลกระทบแน่นอน เราก็พยายามสั่งวัตถุดิบเป็นดอลลาร์มากขึ้น และพยายามลดของเสีย ปรับปรุงประสิทธิการผลิต ลดต้นทุนทุกอย่าง ก็จะช่วยชดเชย เรื่องเงินบาทได้ ซึ่งเงินบาทแข็งค่าจะเอฟเฟ็คกับยอดขายเราครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งได้ hedge ไปแล้ว" นายพิธาน กล่าว
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ KCE กล่าวอีกว่า ในปีนี้ได้ตั้งงบลงทุน 6.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มจากปีก่อน 3 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยในปีนี้โรงงานทั้ง 3 แห่ง จะมีการใช้กำลังการผลิตเต็ม 100% โดยโรงงานที่บางปู คาดว่าจะผลิตได้เต็มที่ในไตรมาส 2/53
นอกจากนี้บริษัทได้ตั้งเป้าลดอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน ให้เหลือ 1.5 เท่า จากปีก่อนอยู่ที่ 2.4 เท่า