นายสุพจน์ สุนทรินคะ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ บมจ.สาลี่ อุตสาหกรรม(SALEE) เปิดเผยว่า บริษัทมองหาโอกาสในการเพิ่มธุรกิจใหม่หลังนากได้ตัดสินใจขายบริษัท เอสซี วาโด ออกไปแล้ว โดยคาดว่าจะได้เห็นภายใน 1-2 ปีข้างหน้า เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทมีโครงสร้างการเงินที่แข็งแกร่ง และไม่มีภาระหนี้สิน
อย่างไรก็ตาม แม้ขายหุ้น เอสซี วาโด แล้ว แต่การดำเนินธุรกิจหลักยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง ทั้งบริษัท พาโก้ สาลี พริ้นติ้ง ที่ SALEE ถือหุ้น 70% และบริษัท สาลีเอ็นจิเนียริ่ง 90% ยังมีการลงทุนเพิ่ม โดยเฉพาะในการจัดซื้อเครื่องจักร รวมประมาณ 100 ล้านบาท ประกอบกับขณะนี้สัญญาณการเติบโตของลูกค้า ทั้งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ การพิมพ์สลากพลาสติกติดข้างขวด ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งลูกค้ารายเดิมและรายใหม่
สำหรับธุรกิจหลักของบริษัท มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ประมาณ 30% และเชื่อว่าทั้งปี 53 ยังเห็นอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวในระดับดังกล่าวใกล้เคียงกับปีก่อน
"ตอนนี้เรามองโอกาสการลงทุนปกติ ถ้ามีอะไรที่เป็นช่องทางที่เราจะขยายธุรกิจได้ แต่คงไม่สามารถสรุปช่วงสั้น ๆ 3-4 เดือนนี้ได้ จากการที่เรามีต้นทุนทางการเงินที่พร้อม ทำให้เราตัดสินใจได้ง่าย" นายสุพจน์ กล่าว
นายสุพจน์ กล่าวยอมรับว่า จากการขาย เอสซี วาโด ช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีการบันทึกกำไรจากการขายธุรกิจดังกล่าวเข้ามาในไตรมาส 1/53 จำนวน 20-30 ล้านบาท แต่จะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ 700-800 ล้านบาท เมื่อเทียบปีก่อนที่มีรายได้ 900 ล้านบาท
นายสาทิส ตัตวธร กรรมการผู้จัดการ SALEE เปิดเผยว่า ในปี 53 กลุ่มบริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักร แบ่งออกเป็นส่วนของ SALEE ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาซื้อเครื่องจักรเพิ่ม เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30 ล้านบาทเพื่อรองรับงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น คาดว่าจะมีการขยายกำลังการผลิตอีก 30% รองรับคำสั่งซื้อลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 3/53
ส่วน บริษัท พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด ได้ซื้อเครื่องพิมพ์ฉลากเพิ่มอีก 1 เครื่องมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท เข้ามาแล้วในเดือนมี.ค.53 ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 25% รองรับคำสั่งซื่อของลูกค้าที่ได้รับการแนะนำจาก PAGO ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ PAGO และ บริษัท สาลี่เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด มีแผนสั่งซื้อเครื่องจักรเพื่อผลิตแม่พิมพ์เพิ่มเช่นกัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาทยคาดว่าจะเข้ามาปลายไตรมาส 2/53
นายสาทิส กล่าวอีกว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ยังมีทิศทางที่สดใสตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้อุตสาหกรรมฟื้นตัวตามไปด้วย โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของ SALEE และบริษัทในเครือ ทำให้มั่นใจว่าสิ้นปี 53 ผลประกอบการจะยังมีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่องได้ เนื่องจากขณะนี้ SALEE มีความพร้อมอย่างมากในการขยายธุรกิจเพิ่มเติม โดยมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และปัจจุบันยังถือเป็นบริษัทที่ปลอดหนี้อีกด้วย
"ปัจจุบันฐานะทางการเงินของ SALEE แข็งแกร่งอย่างมาก เพราะภายหลังการตัดสินใจขายหุ้นเอสซี วาโด ออกไปทำให้มีเงินสดเข้ามาเพิ่ม ซึ่งเงินที่ได้รับมานั้นก็นำไปชำระหนี้ที่มีอยู่ไม่มากนัก จนทำให้ขณะนี้เรากลายเป็นบริษัทปลอดหนี้แล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็แบ่งจ่ายเป็นเงินปันผลเพื่อตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น และยังมีเงินเหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนและใช้ขยายกิจการในอนาคต ซึ่งการขายหุ้นดังกล่าวยังจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของธุรกิจให้กับ SALEE ได้ ซึ่งเมื่อมองในระยะยาวแล้วจะทำให้บริษัทมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น" นายสาทิส กล่าว