4 โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.เอสวีไอ(SVI)มองปี 53 แนวโน้มรายได้และกำไรเติบโตโดดเด่น หลังจากผลประกอบการเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/52 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้มีคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้น และได้ลูกค้ารายใหม่เพิ่มเข้ามาด้วย รวมทั้ง ไม่มีปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตเหมือนปีก่อน การปรับปรุงเครื่องจักรและขยายการผลิตโรงงานเดิม
นอกจากนั้น ยังมีโครงการซื้อหุ้นคืนรักษาเสถียรภาพราคาหุ้นอีกด้วย
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บล.กิมเอ็ง ซื้อ 2.40 บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 3.00 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 2.44 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 2.70
นางสาวศลยา ณ สงขลา นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)มองว่า รายได้และกำไรของ SVI เริ่มกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/52 โดยรายได้โต 20% เมื่อเทียบ qoq เป็น 1.75 พันล้านบาท และมีกำไร 162 ล้านบาท แต่ทั้งปี 52 กำไรสุทธิลดลง 8% มาเป็น 582 ล้านบาท จากภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจและการขาดแคลนวัตถุดิบ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก
ส่วนในปี 53 คาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิของ SVI จะขยายตัว 14% มาเป็น 661 ล้านบาท ขณะที่รายได้เติบโต 13% มาเป็น 7.3 พันล้านบาท
ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาส 3/52 นั้น ขณะนี้ได้คลี่คลายลงไปมากแล้ว หลังจากที่บริษัทได้ปรับเปลี่ยนการสั่งและบริหารวัตถุดิบ โดยการจัดซื้อจากหลายแหล่งและมีขยายเวลาสั่งซื้อล่วงหน้านานขึ้น
นอกจากนี้ บล.กิมเอ็ง ได้มีการประมาณการเงินปันผลที่ 0.10 บาทต่อหุ้นในงวดครึ่งหลังของปี 52 ทำให้อัตราเงินปันผลรายปีถึง 11.2% คิดจากประมาณเงินปันผลรายปี 0.22 บาท/หุ้น ไม่รวมเงินปันผลพิเศษ ประกอบกับ บริษัทมีแผนซื้อหุ้นคืนด้วยวงเงิน 280 ล้านบาทในช่วงเดือน 15 มี.ค.-14 ก.ย.53 ที่จะช่วยรักษาระดับราคาหุ้น
ส่วนนักวิเคราะห์จาก บล.ทรีนีตี้ คาดว่า ผลประกอบการของ SVI ในปี 53 จะมีคำสั่งซื้อเพิ่มเป็น 250 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มจากปีก่อนที่มีคำสั่งซื้อประมาณ 190 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นถึง 30% เป็นผลจากปัจจัยเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับ วัตถุดิบในการผลิตไม่ขาดแคลนเหมือนกับปีก่อนที่ทำให้แม้ว่าจะมีคำสั่งซื้อแต่ไม่สามารถผลิตได้เนื่องจากวัตถุดิบไม่เพียงพอ โดยคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้เต็ม 100% ในช่วงเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งอยู่รอการยืนยันวัตถุดิบจากบริษัท เท็กซัส อินสตรูเม้นท์
อย่างไรก็ตาม SVI เป็นบริษัทที่เน้นการรับจ้างผลิตสินค้าอิเล็กรอนิกส์ที่เน้นคุณภาพและไม่แข่งขันด้านราคาทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูง ส่งผลดีต่อกำไรสุทธิด้วย โดยคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้เพิ่มเป็น 665 ล้านบาท หรือเพิ่มประมาณ 25%
สำหรับแผนลงทุนอีก 350 ล้านบาท โดยเพิ่มสายการผลิตในโรงงานแห่งที่ 3 คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 3/53 รวมทั้งการเปลี่ยนเครื่องจักรแทนเครื่องจักรเดิมที่ SVI 2 ด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และโอกาสเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 3/53 เช่นเดียวกัน
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า บริษัทจะเติบโตจาก 4 ปัจจัย คือ 1.ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว 2.ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบหมดไป 3.ได้ลูกค้าใหม่เข้ามา 3 รายในปีนี้และอยู่ระหว่างการประมูล 3 ราย ซึ่งหากได้เพิ่มเติมจะช่วยส่งเสริมให้รายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้น 4.การขยายกำลังการผลิตในโรงงานที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงปลายปี 53
ทั้ง 4 ประเด็นนี้ เป็นปัจจัยให้รายได้ของ SVI เติบโตต่อเนื่องทั้งปีนี้ โดยทาง บล.ยูไนเต็ด ประเมินรายได้ปี 53 ที่กว่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ทางบริษัทประเมินรายได้จะอยู่ที่ 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่บริษัทจะสามารถทำได้ และกำไรสุทธิที่ 682 ล้านบาท