ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 17.46 จุด แต่การซื้อขายผันผวนก่อนประชุมเฟด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday March 16, 2010 06:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายผันผวนตลอดทั้งวัน ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดอ่อนตัวลง เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่มีท่าทีระมัดระวังก่อนที่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีขึ้นในคืนวันอังคารที่ 16 มี.ค.ตามเวลาประเทศไทย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข่าวมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่าสหรัฐใกล้ที่จะสูญเสียอันดับเครดิต AAA เนื่องจากหนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับสูง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 17.46 จุด หรือ 0.16% แตะที่ 10,642.15 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 0.52 จุด หรือ 0.05% ปิดที่ 1,150.51 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 5.45 จุด หรือ 0.23% ปิดที่ 2,362.21 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 7.24 พันล้านหุ้น ต่ำกว่าระดับเฉลี่ยรายวันของปีที่แล้วที่ 9.65 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 4 ต่อ 3

นักวิเคราะห์จากอินเวสโค ฟิกซ์ อินคัม ในเมืองฮุสตันของสหรัฐ กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กผันผวนตลอดทั้งวัน เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดจะประชุมร่วมกันในคืนวันอังคารตามเวลาประเทศไทย โดยนักลงทุนจับตาดูแถลงการณ์ภายหลังการประชุมว่าเฟดจะประเมินภาวะเศรษฐกิจอย่างไร หลังจากที่เฟดได้ตัดสินใจประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (discount rate) 0.25% เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed fund rate) ไว้ที่ 0-0.25% ในการประชุมคืนนี้ เนื่องจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เฟดเรียกเก็บจากธนาคารพาณิชย์ซึ่งกู้ยืมโดยตรงจากเฟด ส่วนอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นคืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ข้ามคืนที่ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บจากการกู้ยืมระหว่างกัน

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันอย่างหนัก หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ออกรายงานเตือนว่า สหรัฐใกล้สูญเสียอันดับเครดิต AAA เนื่องจากหนี้ต่างประเทศพุ่งสูงขึ้น พร้อมกับแนะนำว่ารัฐบาลสหรัฐให้เร่งปรับดุลการชำระเงินให้มีความสมดุล ซึ่งจะช่วยให้ภาระหนี้สินปรับตัวลดลงโดยไม่กระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

มูดีส์กล่าวในรายงานว่า สหรัฐมีแนวโน้มที่จะต้องนำงบประมาณมาชำระหนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นในปีนี้ และคาดว่าในปีพ.ศ.2554 จนถึง 2556 สหรัฐจะกลายเป็นประเทศที่ต้องแบกรับการชำระหนี้สินต่างประเทศรายใหญ่สุดของโลก นอกจากนี้ มูดีส์ระบุว่าว่า รูปแบบของการขยายตัวและอัตราว่างงานที่สูงขึ้น ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ก็เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เฟดเปิดเผยในรายงานเมื่อคืนนี้ว่า ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ. และอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 72.7% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีพ.ศ.2552 โดยก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ. และอัตราการใช้กำลังผลิตจะอยู่ที่ 72.6%

หุ้นวอล-มาร์ทปิดบวก 2.8% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปิดลบ 0.8% ส่วนหุ้นพลุ่มพลังงานดิ่งลงตามราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX โดยหุ้นเอ็กซอนโมบิล ปิดลบ 50 เซนต์ แตะที่ 66.30 ดอลลาร์ และหุ้นเชฟรอนปิดลบ 15 เซนต์ แตะที่ 73.57 ดอลลาร์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ