นายเจริญ จันทร์พลังศรี ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยโพลีคอนส์(TPOLY)กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 53 คาดว่ารายได้จะมีอัตราการขยายตัวจากปีที่ผ่านมาอีก 10-20% หรืออยู่ที่ 2,100 ล้านบาท จากปี 52 ที่มีรายได้ 1,761 ล้านบาท และในปี 56 ตั้งเป้ารายได้แตะระดับ 5,000 ล้านบาท
ปัจจุบันมีงานในมือ(Backlog)กว่า 3,500 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 55 และในปีนี้เชื่อว่ายังจะมีงานใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีก และยังมีการเจาะตลาดรับเหมาก่อสร้างขึ้นอีกหนี่งประเภท ได้แก่ งานสาธารณูปโภค
TPOLY มีแผนจะเข้าร่วมประมูลงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน ซึ่งปีนี้มีเป้าหมายยื่นประมูลคิดเป็นมูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยโอกาสชนะประมูลประมาณ 30% ของมูลค่างานที่เข้าประมูล เนื่องจากลูกค้ายังเป็นกลุ่มเดิมที่ไว้วางใจบริษัทให้ทำการก่อสร้างต่อ โดยเฉพาะงานทางภาคใต้ที่บริษัทชนะการประมูลงานอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงไตรมาส 1/53 บริษัทได้ลงนามในสัญญาก่อสร้างร่วมกับมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลคณะแพทยศาสตร์ มูลค่างาน 249.8 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 950 วันโครงการที่ 2 ได้ลงนามในสัญญาก่อสร้างร่วมกับ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เพื่อก่อสร้างอาคารคณะพยาบาลศาสตร์มูลค่างาน 119.9 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 650 วัน
และโครงการที่ 3 ได้ลงนามในสัญญาก่อสร้างร่วมกับ โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง เพื่อดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนชั้นมัธยมปลาย มูลค่างาน 64 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 360 วัน
"ปัจจุบัน Backlog ที่เรามีอยู่ประมาณ 2,400 ล้านบาท และมีโครงการที่เราชนะการประมูลแต่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาอีกประมาณ 1,200 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้เรามี Backlog สะสมอยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 50%- 60% ซึ่งใน Backlog ที่มีอยู่แบ่งเป็นสัดส่วนงานภาคราชการ 78% เอกชน 22%"นายเจริญ กล่าว
นายเจริญ กล่าวอีกว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจจากประเทศเยอรมันในการทำโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขนาด 9.5 เมกกะวัตต์ โดยคาดว่า การเจรจาจะเสร็จสิ้นภายในเดือน พ.ค.53 และคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในไตรมาส 3/53 โดยจะมีเงินลงทุน 700 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มรายได้และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นในอนาคตด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปี 53 บริษัทยังคงเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันจะมี backlog จำนวน 3.5-4 พันล้านบาท สามารถรองรับได้ 2 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันบริษัทจะให้ความสำคัญในการควบคุมต้นทุน โดยเฉพาะต้นทุนการขายให้ลดลง และหลังทำ ERP ซึ่งจะทำให้ Net Profit Margin เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 6% จาก 2% ในปี 52
"ตอนนี้ สิ่งที่เป็นตัวแปรอย่างเดียวในแง่ต้นทุนของเราคือเหล็ก ถึงแม้ว่าตอนนี้ราคาเหล็กจะค่อนข้างนิ่งและไม่แกว่งตัวเร็วและแรงเหมือนที่ผ่านมา แต่บริษัทก็จะพยายามในการควบคุมและ fix ราคา" นายเจริญ กล่าว
สำหรับปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น เชื่อว่าไม่น่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน แม้ว่าปัจจุบันบริษัทจะมีสัดส่วนงานภาคราชการเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากบริษัทได้วางแผนธุรกิจและจัดงบลงทุนไว้พร้อมแล้ว แต่ยอมรับว่า มีผลกระทบต่อการทำโรดโชว์ของบริษัทช่วงที่ผ่านมา ซึ่งกองทุนต่างๆ ยังไม่ได้ตอบรับมากนัก เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมือง ซึ่งบริษัทต้องการให้กองทุนเข้ามาถือหุ้นมากขึ้น เพื่อสร้างความน่าสนใจของหุ้นและเป็นการลงทุนระยะยาว