บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(CPN) เดินหน้าแผน 5 ปีพุ่งขยายธุรกิจออกต่างประเทศดันรายได้เติบโต ขณะที่ปีนี้ยังไม่มีแผนปรับเป้าหมายรายได้ที่เคยคาดว่าจะเติบโตลดลงจากปีก่อนที่โต 26% โดยจะรอประเมินผลกระทบการปิดปรับปรุงสาขาลาดพร้าวที่ชัดเจนก่อน ขณะที่สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองไม่น่าจะมีผลกระทบมากเท่ากับปีก่อน แต่ก็ได้เตรียมแผนจัดโปรโมชั่นพร้อมไว้แล้วหากเหตุการณ์ยืดเยื้อ
นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงินและบัญชี CPN กล่าวว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าบริษัทมีแผนขยายศูนย์การค้าออกไปในต่างประเทศมากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 58 สัดส่วนรายได้จากศูนย์การค้าในต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 15% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะมีศูนย์ในต่างประเทศ 2-3 แห่ง
สำหรับการเปิดห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ในประเทศจีนคาดว่าจะมีความชัดเจนในเดือน เม.ย. และคาดว่าเปิดให้บริการได้ปี 55 ซึ่งการเลือกขยายกิจการในประเทศจีนก่อน เนื่องจากมีจำนวนประชากรค่อนข้างมาก และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ยังเจรจาที่อินเดีย และเวียดนาม อย่างต่อเนื่อง
"แผนการลงทุนในจีนแม้ว่าล่าช้าจากแผนแต่ผลดี เพราะต้นทุนลดลง และอย่างที่เวียดนามต้นทุนลดลง 20-30%แต่เชื่อว่าในปี 58 รายได้บริษัทจะมาจากต่างประเทศ 15%"นายนริศ กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีศูนย์การค้าในจีนอีกหลายแห่งที่เจรจาให้บริษัทเข้าไปบริหารงาน โดยที่ผ่านมามีเกือบ 10 แห่งที่สร้างเสร็จแล้วและเข้ามาเจรจากับ CPN ซึ่งหากบรรลุข้อตกลงกันได้ก็จะช่วยสร้างรายได้จากการรับบริหารห้างสรรพสินค้าเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง โดยบริษัทอาจจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อหาต่างชาติมาร่วมทุน เพื่อซื้อศูนย์การค้าและโครงการต่างๆ มาบริหาร คาดว่าจะสรุปในไตรมาส 3/53
สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่นั้น คาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี เพราะกองทุนที่ลงทุนในภูมิภาคเอเชียได้รับความสนใจมากกว่า การลงทุนในฝั่งยุโรปและอเมริกา และหากมีปัญหาฟองสบู่จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากสินทรัพย์ซื้อมาราคาถูก
นายนริศ กล่าวว่า บริษัทจะประเมินความสูญเสียโอกาสด้านรายได้จากการปิดสาขาลาดพพร้าว โดยเดิมคาดว่าจะปิด 7-8 เดือน แต่จะเร่งให้เสร็จภายใน 5-6 เดือน เพื่อให้มีผลกระทบน้อยลง
ขณะที่งบลงทุนในปีนี้จำนวน 8.7 พันล้านบาท จะเน้นในการสร้างโครงการใหม่และปรับปรุงโครงการเดิม ส่วนปี 54 วางงบลงทุน 8.3 ล้านบาท และปี 55 เตรียมงบลงทุน 8.4 พันล้านบาท ในโครงการใหม่ทั้งสิ้น ส่วนโครงการบนพื้นที่สวนลุมไนซ์บาซ่าร์ มั่นใจว่าได้ทำโครงการตามที่ตกลงไว้ เพราะมีการเซ็น MOU แล้ว แต่มีความล่าช้าในการส่งมอบพื้นที่
นายนริศ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนผ่านศูนย์การเซ็นทรัลลาดพร้าวเมื่อวานนี้ ส่งผลกระทบต่อยอดผู้ใช้บริการลดลงราว 30-40% แต่หากเฉลี่ยทั้งสาขาลาดพร้าว เซ็นทรัลเวิลด์ และปิ่นเกล้า ลดลงประมาณ 20% นอกจากนี้ สาขาขอนแก่น และอุดรธานีก็ได้รับผลกระทบด้วยเนื่องจากประชาชนภาคอีสานจำนวนมากเดินทางเข้ามาในกรุงเทพ ซึ่งหากการชุมนุมลากยาวจะมีผลกระทบต่อในไตรมาส 2/53 แต่บริษัทก็มีแผนรองรับไว้แล้ว