นายพีรเจต สุวรรณภาศรี กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล(UKEM) เปิดเผยกับ "อินโฟควสท์"ว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายเป็น 2,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปี 52 ที่มียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิจะสูงขึ้นจากปีก่อน โดยได้รับผลดีจากหลายปัจจัยทั้งในส่วนของบริษัทย่อย ต้นทุนการเงินที่ลดลง และการขยายตลาด ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่อง คือ การตั้งโรงงานผลิตโซลเว้นท์ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 300-400 ล้านบาท และการตั้งศูนย์กระจายสินค้าในต่างประเทศ(Distribution) คาดว่าใช้เงินลงทุน 5-10 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อร่วมทุนดำเนินการทั้งสองด้าน โดยขณะนี้มีการเจรจากับพันธมิตรหลายราย ทั้งจากยุโรป สหรัฐ และเอเซีย คาดว่าน่าจะมีข้อสรุปภายในปีนี้
"เรามองหาพันธมิตรใหม่เรื่อยๆ เพราะเป็นการลงทุนใหญ่ จึงเลือกที่จะหาพาร์ทเนอร์ แต่เราไม่อยากกำหนดกรอบเวลาว่าจะสรุปใน 2-3 เดือนนี้ แต่คุยกันไปเรื่อยๆก่อน หากมีความพร้อม ยอมรับเงื่อนไขของเราได้พร้อมร่วมทำธุรกิจกับเรา ก็น่าจะมีข้อสรุปภายในปีนี้" นายพีรเจต กล่าว
สำหรับแผนการตั้งโรงงานโซลเว้นท์ในประเทศ เป็นการต่อยอดธุรกิจหลักของบริษัทที่จัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ ขณะที่การตั้งศูนย์จำหน่ายและกระจายสินค้าในต่างประเทศ เพื่อขยายเครือข่ายในการขายสินค้า ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่มากนัก โดยจะทำธุรกิจในลักษณะ trading & stocking
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความพร้อมในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจดังกล่าว ซึ่งคงไม่ใช่การเพิ่มทุน หรือการออกหุ้นกู้ ขณะเดียวกันยอมรับว่าหากไม่สามารถหาพันธมิตรร่วมทุนเพื่อขยายการลงทุนดังกล่าว บริษัทคงจะต้องมีการทบทวนการลงทุนหากจำเป็นจะต้องลงทุนเองทั้ง 100% โดยพิจารณาถึงภาระต้นทุนดอกเบี้ย และความเสี่ยงต่างๆ
และในปี 53 บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนโครงการใหญ่ ๆ แต่จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ในช่วงกลาง-ปลายไตรมาส 2/53 ขายตลาดในประเทศเป็นหลัก และปีนี้การขยายตลาดของบริษัทจะยังเน้นตลาดในประเทศ
"ปีนี้เรายังชะลอแผนการลงทุนใหญ่ๆ แต่จะเน้นธุรกิจเดิมและขยายโปรดักส์ใหม่ๆ...เรามองการเติบโตแบบมีนัยสำคัญ การทำกำไรในระดับน่าพอใจ" นายพีรเจต กล่าว
นายพีรเจต กล่าวถึงทิศทางราคาปิโตรเคมีในปีนี้ว่า คงจะมีการปรับสูงขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาเหมือนปีก่อนๆ ทำให้ราคามีเสถียรภาพกว่าปีก่อน แต่มองว่าความต้องการสินค้าในกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ดีขึ้น แต่ยังไม่กลับมาเหมือนช่วงปกติ แม้เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม
ส่วนปัญหาการชุมนุมทางการเมืองในประเทศมองว่า ไม่น่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท เนื่องจากสินค้าของบริษัทจะเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และไม่ได้ผูกกับงานของภาคราชการ เช่นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จึงไม่น่ากังวล ซึ่งหากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ในอัตรา 2-3% เชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจดำเนินไปได้