โบรกเกอร์เชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.ช.การช่าง(CK) คาดว่าผลประกอบการจะหดตัวลงระยะสั้นในปีนี้ ก่อนที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 54 เนื่องจากงานเขื่อนไซยะบุรีกว่า 7 หมื่นล้านบาทจะเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ ดันงานในมือ(backlog)เพิ่มขึ้นสูงจากปัจจุบันมีอยู่ 1.3 หมื่นล้านบาท และยังมีงานจากรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอีก ซึ่งประเมินว่า CK น่าจะได้งานราว 2 สัญญา จากทั้งหมดที่เตรียมยื่นซองประมูล 5 สัญญา
รวมทั้งยังได้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มจากการสร้างโครงการน้ำงึม 2 เสร็จก่อนกำหนด 3 เดือน คาดได้ประมาณ 540-570 ล้านบาท และยังมีรายได้จาก SEAN ผู้ดำเนินโครงการน้ำงึม 2 ที่ CK ถือหุ้นกว่า 30% ดังนั้น บางโบรกเกอร์ได้ปรับเป้าหมายไปแล้วและคาดว่าราคาหุ้นจะถูกกระตุ้นจากข่าวดีต่างๆ ต่อไปอีก
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล.กิมเอ็ง ซื้อ 8.00 บล.ซิกโก้ ซื้อ 7.55 บล.กสิกรไทย ซื้อ 7.50 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 7.24 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 6.58 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 6.80
นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) กล่าวว่า ปรับราคาเป้าหมายหุ้น CK ขึ้นมาเป็น 8.00 บาท จากเดิม 7.45 บาท ด้วยมูลค่าของโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงน้ำเชื่อนน้ำงึม 2 ที่เสร็จก่อนกำหนด 25 มี.ค.53 มาเป็น 25 ธ.ค.52 ถือว่าเสร็จก่อนกำหนดถึง 3 เดือน ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้เร็วกว่าคาด ซึ่งขายให้กับการไฟฟ้าฝายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ได้ทันที
ตามสัญญาก่อสร้าง CK จะได้ส่วนแบ่งกำไร 50% จากการจำหน่ายไฟฟ้าในช่วง 3 เดือนนี้ คาดว่าส่วนแบ่งกำไรที่ CK จะได้รวมเป็น 570 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ 95 ล้านบาท และที่เหลือบันทึกในปีหน้า รวมทั้งได้ปรับเพิ่มส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท เซาท์อีสท์เอเซีย เอ็นเนอจี(SEAN)ที่ CK ถืออยู่ประมาณ 38%
ดังนั้น จึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ CK ในปี 54 โดยประเมินกำไรราว 568 ล้านบาท หรือ 0.34 บาท/หุ้นปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม 8% แต่ปี 53 คาดว่าจะมีกำไรเพียง 32 ล้านบาท เพราะปีนี้รายได้ลดลง เพราะจะมี backlog เพิ่มเข้ามาไม่มาก ประมาณ 6 พันล้านบาท จากที่มีอยู่ 1.3 หมื่นล้านบาท จึงคาดรายได้ปีนี้ที่ 10,726 ล้านบาท จากเดิมประเมินไว้ 1.3 หมื่นล้านบาท เพราะงานใหม่จะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง
สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะเซ็นสัญญาปลายปี 53 และโครงการไซยะบุรี คาดว่าจะมีการลงนามซื้อขายไฟฟ้า และงานก่อสร้างในช่วงปลายปีนี้เช่นกัน
"โครงการไซยะบุรี มาแน่ๆ ตอนปลายปีนี้ เขาได้คุยค่าไฟฟ้ากับ EGAT แล้ว หลังจากก็คงมีเรื่องการเจรจาหาพาร์ทเนอร์ หา Project Finance หลังจากก็เซ็นสัญญาก่อสร้างกัน รายได้คงเข้าปีหน้า ทำให้รายได้ปีนี้ต่ำ"นายสุรศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการไซยะบุรีมีมูลค่างานก่อสร้าง 7 หมื่นล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 7-8 ปี
"สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจะชัดเจนในช่วงปลายปี ดูแล้วค่อนข้างแน่นอน เขื่อนที่เราไปดูมาก็สร้างเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็รอ test ระบบ และเรื่องการจำหน่ายไฟกับ EGAT ก็เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว คือรายได้อนาคตเห็นแน่นอนว่าจะมา ตัวน้ำงึม 2 ไม่มีความเสี่ยง ยังมีงานไซยะบุรีและสายสีน้ำเงินอีกในปลายปี"นายสุรศักดิ์ กล่าว
ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มองว่า งานก่อสร้างโครงการน้ำงึม 2 ที่สร้างเสร็จก่อนกำหนด 3 เดือนถือว่าเป็นโบนัสของบริษัท โดยคาดว่าจะบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 1/54 จำนวน 540-570 ล้านบาท นอกเหนือจากที่ได้รับเงินจากค่าก่อสร้าง
และ SEAN ซึ่ง CK ถือหุ้นอยู่ก็ได้ส่วนแบ่งรายได้จากการดำเนินงาน ตามสัดส่วนการถือหุ้น เริ่มรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าในปี 54 โดยคาดว่ารายได้จาก SEAN ในปีแรกจะอยู่ที่ 4 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าผลประกอบการของ CK ในปี 53 ยังไม่ดีมากนัก และปัจจุบัน backlog มีไม่มาก จำนวน 1.39 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเป็นงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 1 และประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัทก็มีไม่มาก ทำให้กำไรในปี 53 ไม่เติบโตมากนัก แต่ในปี 54 กำไรจะกระโดดขึ้นมาเป็น 694 ล้านบาท
"ถ้าจะซื้อ ก็เป็นลักษณะ longterm นิดหนึ่ง แต่คิดว่าข่าวเรื่องโบนัสจากน้ำงึม 2 ก็จะกระตุ้นราคาหุ้นได้เหมือนกัน ซึ่งก็เห็นราคาหุ้นกระเตื้อง หรือมีข่าวเรื่องไซยะบุรี เรื่องรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน"นายสมบัติ กล่าว
นอกจากนี้ งานประมูลใหม่ปีนี้จะทยอยเข้ามามาก ได้แก่ โครงการเขื่อนไซยะบุรี มูลค่า 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเซ็นสัญญาได้ในปลายปีนี้ ทั้งการซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.),การจัดหาโครงการเงินกู้ และงานรับเหมาก่อสร้าง รวมทั้งเข้าร่วมประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดกันว่า CK น่าจะได้ 2 สัญญาจากทั้งหมด 5 สัญญา
"แนะนำซื้อ แม้ว่าภาพปีนี้จะไม่ค่อยดี แต่ถ้ามองข้ามไปปีหน้าก็จะมีกำไรก้าวกระโดดในปีหน้า โดยราคาเป้าหมาย 6.58 บาท ใช้วิธี sum of part เป็นการคำนวณที่รายได้บริษัทบวกับเงินลงทุนด้วย ไม่ว่าจะเป็น SEAN TTW BECL BMCL" นายสมบัติ กล่าว
บทวิเคราะห์จากบล.โกลเบล็ก ระบุ ยังคงแนะ“ซื้อ"หุ้น CK แม้ว่าแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้จะยังไม่ดีนัก โดยคาดรายได้ประมาณ 10,167 ล้านบาท ลดลง 20%yoy และกำไรสุทธิ 110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%yoy แต่คาดว่าข่าวการเปิดประมูลงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและงานก่อสร้างเขื่อนไชยะบุรีที่จะทำให้ CK มีงานในมือเพิ่มขึ้นอย่างมากและรองรับการเติบโตของรายได้ไปอีก 7-8 ปี ซึ่งจะช่วยให้ CK กลายเป็นหุ้นรับเหมาที่มีความน่าสนใจมากที่สุดในปีนี้