ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดใหม่ของ TBANK ที่ระดับ A

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 18, 2010 18:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของ ธนาคารธนชาต(TBANK)ที่ระดับ A และยืนยันอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ A+ คงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันที่ระดับ A และหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารที่ระดับ A- โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังเป็น Positive หรือ บวก

อันดับเครดิต สะท้อนสถานะทางธุรกิจของธนาคารที่มีความแข็งแกร่งสืบเนื่องจากความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหารในธุรกิจหลักคือสินเชื่อเช่าซื้อ รวมทั้งจากเครือข่ายธุรกิจที่ขยายตัว และโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสมสอดคล้องต่อการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่การผสานธุรกิจในกลุ่มธนชาต

และยังได้รับแรงหนุนจากสถานะเครดิตที่เข้มแข็งของผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์คือ Bank of Nova Scotia (BNS) จากประเทศแคนาดาซึ่งถือหุ้นธนาคารในสัดส่วน 48.99% ด้วย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหมายว่าฐานะทางธุรกิจของธนาคารจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังการรวมพอร์ตสินเชื่อและฐานเงินฝากของธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) เข้ามาอยู่ในกลุ่มธนชาต

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนความไม่แน่นอนของธุรกิจหลักทรัพย์ และความเสี่ยงระหว่างการควบรวมกิจการของ SCIBและ TBANK ซึ่งอาจจำกัดการขยายธุรกิจและการทำกำไรของกลุ่มธนชาตในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า

สำหรับ อันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคาร(TBANK197A และ TBANK247A) สะท้อนถึงความด้อยสิทธิและความเสี่ยงต่อการเลื่อนชำระดอกเบี้ยสำหรับหุ้นกู้ดังกล่าว โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนนี้จะครบกำหนดในปี 62 และ 67

นอกจากนี้ ยังสะสมผลตอบแทน มีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และสามารถไถ่ถอนก่อนกำหนดทั้งจำนวนโดยธนาคารได้หลังจาก 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสาร และอยู่ภายใต้ความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิประเภทนี้จะได้รับการชำระเงินในลำดับถัดจากผู้ฝากเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีประกัน และผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคาร โดยธนาคารไม่ต้องมีภาระผูกพันในการจ่ายหนี้ใดใดสำหรับหุ้นกู้ประเภทนี้ในกรณีที่ธนาคารมีผลประกอบการขาดทุนในระยะเวลา 6 เดือนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธนาคารต้องจ่ายชำระดอกเบี้ย และธนาคารไม่สามารถจ่ายเงินปันผลในช่วงดังกล่าวหรือในช่วง 6 เดือนข้างหน้าได้ อย่างไรก็ตาม จำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายคืนจะเป็นจำนวนยอดสะสม

แนวโน้มอันดับเครดิต Positive สะท้อนบทบาทของธนาคารในการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านการเงินและธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญของกลุ่มธนชาต และยังสะท้อนถึงความคาดหมายว่าฐานะทางการตลาดในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารภายใต้การควบรวมกิจการจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยโครงสร้างสินเชื่อและฐานเงินฝากของธนาคารจะมีการกระจายตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานทุนของธนาคารที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามแผนการเพิ่มทุนเพื่อเตรียมซื้อหุ้นเต็ม 100% ของธนาคารนครหลวงไทย

ณ เดือน ธ.ค.52 ขนาดสินทรัพย์ตามงบการเงินรวมของ TBANK มีจำนวน 433,000 ล้านบาท ในขณะที่ SCIB มีจำนวน 424,000 ล้านบาท ภายหลังการควบรวมกิจการแล้ว TBANK จะมีขนาดสินทรัพย์ในลำดับที่ 5 จากเดิมในลำดับที่ 8 ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ

ธนาคารยังได้รับประโยชน์จากการผสานธุรกิจกับ SCIB เนื่องจากธนาคารทั้งสองต่างมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยประมาณ 80% ของสินเชื่อของ TBANKเป็นสินเชื่อเพื่อการบริโภค และเพียง 20% เป็นสินเชื่อธุรกิจ ในขณะที่ 67% ของสินเชื่อของSCIB เป็ฯสินเชื่อธุรกิจ หลังจากการควบรวมกิจการแล้ว ธนาคารจะมีการผสมผสานของสินเชื่อที่ดียิ่งขึ้นระหว่างสินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินเชื่อธุรกิจในสัดส่วน 60% และ 40%

สำหรับในด้านของหนี้สินนั้น คาดว่าฐานเงินฝากที่คงที่และกระจายตัวจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ฐานเงินทุนของ TBANKในอนาคต อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าในการควบรวมกิจการในช่วง 1 ปีครึ่งข้างหน้าอย่างใกล้ชิดต่อไป

อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารตามเกณฑ์ Basel II เพิ่มขึ้นจาก 11.18% ในปี 51 เป็น 14.10% ในปี 52 เนื่องมาจากการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารและเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากธนาคารออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในเดือน ก.ค.52 และเงินกองทุนของธนาคารจะมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังจากธนาคารเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาท รวมทั้งมีเงินเพิ่มทุนใหม่อีกจำนวน 35.8 พันล้านบาท และออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 อีก 7,100 ล้านบาทในเดือน เม.ย.53


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ