นายดามพ์ นานา กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.อาร์เอส(RS)คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 1/53 จะพลิกมีกำไร จากที่ขาดทุนในไตรมาส 1/52 และเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 4/52 ซึ่งบริษัทเชื่อว่ารายได้ทั้งปี 53 จะเติบโตได้ราว 30% จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจทุกด้านปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งบริษัทจะมีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้นจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก และจะมีการเปิดทีวีดาวเทียมเพิ่มอีก 2 ช่องภายในปีนี้
นายดามพ์ คาดว่าไตรมาส 1/53 น่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 4/52 และดีกว่าไตรมาส 1/52 ที่มีผลขาดทุน เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังดีอยู่ และงบโฆษณาเข้ามาเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีการชุมนุมทางการเมืองแต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบมากเหมือนกับช่วงต้นปีก่อน อย่างเช่นในช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาที่เป็นช่วงพีคของการชุมนุม แต่คอนเสิร์ตก็ขายบัตรได้หมด จากนี้เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบไปมากกว่านี้ แต่ถ้าการชุมนุมลากยาวต่อไปก็ไม่แน่
รายได้รวมของบริษัทในปีนี้ประเมินไว้ที่ 2.9 พันล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.17 พันล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเพลง กีฬา และวิทยุที่เติบโตได้ดี ซึ่งในปีนี้บริษัทมีเป้าหมายจะล้างขาดทุนสะสมในงบเดี่ยวที่มีอยู่ 247 ล้านบาทได้หมดราวไตรมาส 2/53 หรือ ไตรมาส 3/53 ด้วยการใช้ส่วนเกินมูลค่าหุ้นและการลดทุนจดทะเบียน โดยการลดทุนจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้
นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ RS กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดทีวีดาวเทียมเพิ่มอีก 2 ช่องเป็น 4 ช่อง ซึ่งช่องที่ 3 จะเปิดตัวในเดือน พ.ค.นี้ ชื่อ "A-LIST"บนทรูวิชั่นส์ และช่องที่ 4 ยังอยู่ระหว่างเตรียมงานทั้งด้านรูปแบบและพันธมิตร ภายใต้คอนเส็ปต์ต่อยอดในกลุ่มผู้ชมวัยรุ่นเป็นหลัก ทั้ง 2 ช่องจะใช้งบลงทุนประมาณ 50 ล้านบาท
นอกจากนั้น การที่บริษัทเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2 ครั้ง ก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะเปิดช่องทีวี sport channel เอง แต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เนื่องจากบริษัทจะพิจารณาเรื่องผลกำไร-ขาดทุนเป็นหลัก
ในส่วนของธุรกิจเพลงดิจิตอล ปีที่แล้วประสบความสำเร็จจากโปรโมชั่นซุปเปอร์ *339 ที่เปิดให้ดาวน์โหลดดิจิตอลคอนเทนท์ สิ้นปีนี้ลูกค้าก็น่าจะเพิ่มเป็น 3 ล้านราย จากปีก่อนมี 2 ล้านราย เป้าหมายเป็นผู้ฟังเพลงลูกทุ่งเป็นหลัก ซึ่งการที่บริษัทมีทีวีดาวเทียม 2 ช่องอยู่แล้วก็น่าจะเข้าถึงผู้ชมที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกได้มากขึ้น คาดว่าจะช่วยสร้างกำไรให้เพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจภาพยนตร์ในปีนี้จะมีทั้งหมด 4 เรื่อง ไตรมาส 2/53 จะมีภาพยนตร์เข้าฉาย 2 เรื่อง ส่วนไตรมาส 3/53 และไตรมาส 4/53 จะเข้าฉายไตรมาสละ 1 เรื่อง
นางพรพรรณ กล่าวว่า การทำธุรกิจต่อเนื่องจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลกในปีนี้ น่าจะสร้างกำไรให้กับบริษัท เนื่องจากขณะนี้มีสปอนเซอร์และลูกค้าที่จะทำรายได้แล้วกว่า 500 ล้านบาท เกินกว่าจุดคุ้มทุนที่กำหนดไว้ต่ำกว่า 500 ล้านบาทแล้ว จึงเชื่อว่าจะมีกำไรแน่นอน