นายสมฤกษ์ ตั้งวิรุฬธรรม บมจ.ไทยฮา(KASET)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า การปรับแนวทางการขายหุ้นเพิ่มทุนมาเป็นการเสนอขายให้กับทั้งบุคคลในวงจำกัด(Private Placement)จำนวน 27 ล้านหุ้น และขายประชาชนทั่วไป(Public Offering) 27 ล้านหุ้น เป็นการขอมติไว้เพื่อความคล่องในการบริหารจัดการ โดยเปิดทางทั้งพันธมิตรในประเทศและต่างประเทศเข้ามาเป็น Stragtigic Partner
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าหลังมีพันธมิตรเข้ามาช่วยในทุกๆด้าน น่าจะทำให้ยอดขายและรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด จากที่เคยเติบโตเฉลี่ยปีละ 25% ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยจะพยายามเจรจากับพันธมิตรให้จบภายในปีนี้ แม้ว่าตอนนี้บ้านเราจะมีปัญหาการเมือง แต่เท่าที่มีการพูดคุยกันพันธมิตรไม่ได้กังวลมากนัก เพราะมองว่าที่ไหนๆก็มีปัญหาการเมืองไม่ใช่มีแต่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
"ขอมติไว้ 2 แบบคือ ขาย PO กับ PP ถ้าได้อันไหนก่อนก็เอาอันนั้น ส่วนเรื่องจำนวนหุ้น ถ้าพันธมิตรอยากได้มากกว่า 27 ล้านหุ้น ก็พร้อมจะขอมติเพื่อปรับโยกหุ้นของ PO มาให้"นายสมฤกษ์ กล่าว
สำหรับการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ นายสมฤกษ์ กล่าวว่า ยอดขายในไตรมาส 1/53 มั่นใจว่าจะเจิบโตเกิน 10% จากไตรมาส 1/52 เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันมากมายทั้งการเมืองในประเทศ และ ปัญหาเศรษฐกิจ
แผนการตลาดปีนี้ บริษัทจะพยายามพลิกฟื้นตลาดต่างประเทศให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง จากปี 52 ตลาดต่างประเทศเติบโตเพียง 10% ลดลงจากปี 51 ที่เคยเติบโตถึง 30% เนื่องจากปีก่อนเศรษฐกิจโลกมีปัญหา ประกอบกับ ขณะนี้ตลาดในประเทศเริ่มอยู่ตัวแล้ว หลังจากเติบโตเกิน 100% มาเกือบทุกปี โดยสินค้าของบริษัทได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยเฉพาะสินค้าอาหารกึ่งสำเร็จรูป ประเภทโจ๊กคัพ วุ้นเส้นคัพ ต่างครองส่วนแบ่งตลาดติด 1 ใน 3 ของผู้นำตลาด
นางสมฤกษ์ เชื่อว่า ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าข้าวทั้งในประเทศและส่งออก เนื่องจากขณะนี้ปริมาณข้าวในสต็อกของทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่ในระดับสูง รวมๆกันน่าจะใกล้เคียง 10 ล้านตัน เพียงพอทั้งบริโภคในประเทศและส่งออก ส่วนผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่ที่จะออกน่าจะอยู่ราว 2 ล้านตันใกล้เคียงปีที่แล้ว
ขณะที่ราคาส่งออกข้าวนั้น ข้าวหอมมะลิน่าจะอยู่ราวๆ 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนข้าวขาวก็น่าจะยังอยู่ราวๆ 500-600 เหรียญสหรัฐ/ตัน และยังสูงกว่าเวียดนามประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน