นายแคม ชิง แอมโบรส ชาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) (DSGT) เปิดเผยว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้ายอดขายและกำไรสุทธิเติบโตเป็นเลข 2 หลัก หรือสูงกว่า 10% ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 52 ที่มียอดขาย 3,436 ล้านบาท เติบโต 18% โดยมาจากทั้งยอดขายผ้าอ้อมเด็กและผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ซึ่งมองว่าขณะนี้อุตสาหกรรมผ้าอ้อมได้กลับมาฟื้นตัวแล้ว และกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้น เป็นผลจากเศรษฐกิจไทยเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ปลายไตรมาส 4/52
ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 4/52 ที่ยอดขายได้ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว ดังนั้น ยอดขายไตรมาส 1/53 คาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคมีมากขึ้น โดยมองว่ายอดขายของบริษัทจะเติบโตได้มากกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโต 10%
ในปีนี้บริษัทจะมีการปรับปรุงการจัดจำหน่ายโดยเจาะตลาดตามร้านขายยาและโรงพยาบาลมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยยอดขายของบริษัทในส่วนของตลาดในประเทศ มีสัดส่วนการขายผ้าอ้อมเด็ก 90% ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ 10% ส่วนตลาดส่งออกที่มาเลเซีย เป็นผ้าอ้อมเด็ก 95% ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ 5%
ตลาดหลักส่งออกหลักของบริษัท ยังเป็นประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ และปีนี้จะขยายตลาดส่งออกไปประเทศเวียดนาม ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 200 ล้านบาทเพื่อใช้เพิ่มกำลังการผลิตผ้าอ้อมสำหรับโรงงานในประเทศไทย
ซีอีโอ DSGT กล่าวว่า กรณีที่เงินบาทแข็งค่าในขณะนี้ มองว่าจะเป็นผลดีต่อบริษัทในแง่การนำเข้าวัตถุดิบ เนื่องจากทำให้ต้นทุนลดลง โดยส่วนใหญ่บริษัทนำเข้าเยื่อกระดาษจากสหรัฐ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก แต่ในทางกลับกันหากเงินบาทอ่อนค่า บริษัทก็ได้ทำประกันความเสี่ยงไว้แล้ว
"เราขายมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เมื่อใดที่บาทแข็ง ต้นทุนวัตถุดิบก็ดีดี แต่เมื่อบาทอ่อน วัตถุดิบก็ดูไม่ดี แต่เราได้เงินจากการขายต่างประเทศ ก็หักกลบลบกันได้ ผลกระทบบาทอ่อนหรือแข็ง ก็ชดเชยกันได้" นาย ชาน กล่าว
ส่วนการชุมนุมทางการเมืองนั้น หากการเคลื่อนไหวในลักษระนี้ต่อไป ก็คงยังไม่กระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภค และทำให้บริษัทคงดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น