นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 53 บริษัทตั้งเป้าการขยายตัวของสินทรัพย์รวม(Asset Under Management) หรือ AUM อยู่ที่ 20% หรืออีกประมาณ 100,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 52 ที่มี AUM รวมประมาณ 495,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตในอัตราเดียวกับภาพรวมของอุตสาหกรรม
ในปีนี้จะเน้นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มลูกค้าสถาบันและกลุ่มกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนนักลงทุนประเภทสถาบันประมาณ 100,000 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยประมาณ 400,000 ล้านบาท และจะเน้นความร่วมมือในการทำงานกับธนาคารพาณิชย์(SCB)ในการขายกองทุนผ่านสาขาธนาคาร ซึ่งปัจจุบันมีรายได้จากสาขา 92% แต่ใน 3 ปีข้างหน้าตั้งเป้าที่จะขายกองทุนด้วยตัวเองมากขึ้น
"เราโตได้จากการที่มีฐานเงินฝากโดยมีธนาคารเป็นฐานใหญ่ ซึ่งลูกค้าที่มีเงินออมจะย้ายเงินไปที่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เงินก็จะไหลมา แต่ต้องอยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้ด้วย"นางโชติกา กล่าว
สำหรับกลยุทธการดำเนินธุรกิจในปีนี้จะเน้นทั้งการกลยุทธการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และด้านการขาย โดยจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนแบบสำเร็จรูปให้หลากหลาย และมีการสร้างช่องทางการขายใหม่ๆ เพื่อเพิ่ม AUM ขณะนี้เดียวกันจะมีการอบรมพนักงานของ SCB เพื่อทำหน้าที่แนะนำการลงทุน โดยจะนำร่อง 200 สาขา ก่อนขยายให้ครบทุกสาขา และบริษัทได้ใช้งบลงทุนถึง 40 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงระบบไอที เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย
นางโชติกา กล่าวอีกว่า ในไตรมาส 2/53 บริษัทจะมีการออกกองทุนต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อกระจายความเสี่ยงจากปัจจุบันที่มีกองทุนลงทุนในเกาหลี โดยยังเป็นการลงทุนในประเทศภูมิภาคเอเซียทั้งประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นประเทศที่มีเครดิตความเสี่ยงไม่ต่ำกว่าไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการทางกฎหมายและการทำสวอป
ขณะที่นโยบายการออกกองทุนจะเน้นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่จะนำเสนอกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้นเพื่อล็อคผลตอบแทน โดยเฉพาะดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยจะยังผสมผสานกับกองทุนระยะสั้น ระยะกลางที่ออกมาต่อเนื่องเพื่อความหลากหลาย
ส่วนแผนเพิ่มทุนกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทลโกรท (CPNRF) เพื่อลงทุนในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เชียงใหม่แอร์พอร์ต คาดว่าจะดำเนินการได้ในช่วงประมาณไตรมาส 2/53 รวมถึงกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่มีนโยบายจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้มีการออมระยะยาว
สำหรับสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพรวมอุตสาหกรรมการลงทุน เพราะหากมีการชุมนุมยืดเยื้อ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่น ทำให้คนหันไปออมเงินมากขึ้นแทน