นายบรรลือ ฉันทาดิศัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบัญชีและการเงิน IRPC กล่าวกับ "อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้บริษัทยังคงไม่ได้รับข้อสรุปในการควบรวมกิจการว่าจะเป็นในรูปแบบใด แต่เบื้องต้นยังคงตามแผนการเดิมที่ให้ IRPC และ PTTAR ควบรวมกันก่อนในช่วงแรก โดยจะทราบความชัดเจนในการควบรวมกิจการในช่วงเดือน พ.ค.ตามที่ บมจ. ปตท. (PTT) กำหนดขึ้นมา
ส่วนการประเมินมูลค่าของบริษัทนั้นยังคงต้องรอแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยด้าน IRPC ยังไม่ได้ตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน โดยเบื้องต้นหากประเมินมูลค่าตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป)จะเห็นว่าทั้งสองบริษัทมีขนาดใกล้เคียงกัน โดย PTTAR มีมาร์เก็ตแคป 83,001.68 ล้านบาท และ IRPC มีมาร์เก็ตแคป 92,337.22 ล้านบาท
ทั้งนี้ เบื้องต้นยังคงให้รูปแบบการควบรวมยังคงเป็น 3 แนวทาง คือ A+B เป็น C แล้ว delete ทั้งสองบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์ หรือ A ซื้อ B และ A ยังซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และสุดท้าย คือ B ซื้อ A แล้ว B ยังคงซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่ได้มีการกำหนดรูปแบบที่ชัดเจนจึงไม่สามารถตอบได้ว่าจะใช้รูปแบบใดในการควบรวมกิจการ
"การที่จะใช้บริษัทใดเข้ามาเป็นผู้ซื้อต้องตีมูลค่าหุ้นก่อนว่าและออกหุ้นมาซื้อกิจการ เราก็ศึกษา 2-3 วิธี ไม่หนีไปจากนี้ว่าจะใช้วิธีการไหนเป็นไปได้ทั้งนั้น" นายบรรลือ กล่าว
นายบรรลือ กล่าวว่า แผนเดิมที่เคยวางไว้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด คือ การให้ PTTAR เป็นผู้ซื้อหุ้น IRPC เนื่องจาก IRPC ยังติดปัญหาคดีความ และมีขาดทุนสะสม 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเมื่อ IRPC มาเป็นบริษัทลูกของ PTTAR แม้ต้องบันทึกขาดทุนของบริษัทลูกเอาไว้แต่บริษัทแม่สามารถใช้วิธีให้บริษัทลูกจ่ายเป็นเงินปันผลมาให้
อย่างไรก็ดี บริษัทที่เกี่ยวข้องทั้ง 3-4 บริษัทที่อยู่ในแผนควบรวมกิจการและมีบริษัทแม่ คือ ปตท. เดียวกัน และทั้งหมดก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น หากได้ข้อสรุปก็จะต้องให้ข้อมูลที่เท่าเทียมและพร้อมกัน เพื่อไม่ให้ส่งกระทบต่อผู้ถือหุ้นและการลงทุนของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
"ตอนนี้กำลังดูอยู่แนวไหนดีที่สุดเลือกแนวทางนั้นเรายังไม่ได้สรุปแนวทางว่าจะใช้ทางเลือกใด แม้แผนเดิมที่เคยคิดว่าเป็นทางที่ดีที่สุดก็ยังไม่ชัดเจน แต่ยืนยันว่าวิธีการที่ใช้ต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นทุกฝ่าย และนักลงทุนต้องได้รับข้อมูลพร้อมกัน"นายบรรลือ กล่าว
ส่วนการที่ราคาหุ้น IRPC และ PTTAR ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในระยะนี้น่าจะเป็นการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 1/53 ของกลุ่ม ปตท. ซึ่งราคาหุ้นก็ปปรับเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่ม ส่วนการที่มีปริมาณการซื้อขายจำนวนมากน่าจะมาจากการที่ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักมากกว่าจะมีข้อมูลใหม่ของกลุ่มปตท.