(เพิ่มเติม) บล.ทรีนิตี้ ประเมินดัชนี SET ปีนี้มีสิทธิแตะ 900 จุดจากผล fund flow

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 24, 2010 12:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บล.ทรีนิตี้ ประเมินเป้าหมายดัชนี SET ในปี 53 มีสิทธิพุ่งแตะ 900 จุดภายใต้คาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) 4.4% โดยให้น้ำหนักกับ Fund Flow ต่างชาติที่ไหลทะลักเข้ามา และยังไม่มีสัญญาณที่จะไหลออก

ขณะที่ปี 54 ประเมินเป้าดัชนี SET เคลื่อนไหวในช่วง 800-1,000 จุด และคาดจีดีพีโต 4.8%

ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 53 เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ทั้งปี 52 มีเงินไหลเข้ามาราว 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะจากปัจจัย กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 4/52 รวมทั้ง เงินปันผล และ กระแสเงินสด อยู่ในระดับที่ดี

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ราคาหุ้นยังถูก ค่าพี/อีตลาดอยู่ที่ 12.5 เท่า ต่ำกว่าประเทศอื่นที่สูงเกิน 14 เท่าไปแล้ว และบางประเทศสูงไปถึง 30 เท่า

นางสาววชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ คาดว่าดัชนี SET ในปี 53 จะปรับขึ้นที่ 900 จุด ในช่วงไตรมาส 4/53 โดยมีปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้าประเทศ โดยให้น้ำหนักมากถึง 40% รองลงมา คือ การเติบโตของเศรษฐกิจจีน และปัจจัยภายในประเทศ จากตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองของไทยยังไม่มีประเด็นให้น่ากังวล

ส่วนปี 54 คาดดัชนี SET จะอยู่ที่ 800-1,000 จุด ภายใต้เศรษฐกิจเติบโต 4.8% ราคาน้ำมันที่ 83 ดอลลาร์/บาร์เรล และเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น

ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 53 จนถึงวันที่ 23 มี.ค.ปรับขึ้นมาแล้ว 6.53% สูงสุดเป็นอันดับสองรองจากอินโดนีเซีย และหากนับจากวันที่ 12 มี.ค.ที่เริ่มการชุมนุมทางการเมืองจนถึงงปัจจุบัน ดัชนี SET ปรับขึ้นเป็นอันดับ 1 ขณะที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับขึ้นเป็นอันดับ 2 โดยมองว่านักลงทุนต่างประเทศจะยังนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศต่อไปอีกนานพอสมควร แม้ไทยจะมีปัญหาการเมือง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังเชื่อมั่นต่อผลกำไร เงินปันผล และกระแสเงินสดของบริษัทจดทะเบียน

นอกจากนี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยดีขึ้น หลังจากไตรมาส 4/52 เศรษฐกิจไทยเติบโต 5.8% ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และคาดว่าไตรมาส 1/53 เศรษฐกิจน่าจะเติบโตถึง 6.6% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยัง Laggard โดยค่าพี/อีอยู่ระดับต่ำกว่าทั่วโลก โดยมีพี/อีที่ 12.5 เท่า ขณะที่ตลาดอื่นทั่วโลกพี/อีทะลุ 14 เท่า

"เท่าที่ประเมิน fund flow น่าจะยังอยู่นานพอสมควร เพราะหุ้นไทยมีเสน่ห์ ทั้งกำไร เงินปันผล cash flow ดีมากเป็นอันดับต้นของโลก ตัวเลขเศรษฐกิจดี ราคาหุ้นถูก"นางสาววชิราลักษณ์ กล่าว

สำหรับเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศจะยังอยู่ในไทยอีกอีกนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่องหรือไม่ ปัญหาการเมือง แม้ขณะนี้ไม่ส่งผลกระทบ แต่ไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเม็ดเงินทุนจากต่างชาติจะอยู่ในประเทศจนกว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี

ขณะที่ด้านการเมืองนั้น หากรัฐบาลยังควบคุมได้ก็จะไม่น่าส่งผลกระทบ แต่คงต้องติดตามช่วงครึ่งปีหลัง หากการเมืองไม่นิ่ง การค้าการลงทุนไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว อาจจะทำให้เงินไหลออกได้

"ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณว่า fund flow จะออก แต่ต้องระวังสิ้นเดือน มี.ค. อาจมีการทำการปิดบัญชีสิ้นงวดไตรมาส 1 ซึ่งอาจทำให้ดัชนีแกว่ง ส่วนเม.ย. ทิศทางดัชนีอาจจะแกว่งในขาขึ้น อาจเห็น 700 จุดต่ำๆ ซึ่งเป็นจังหวะซื้อ" นางสาววชิราลักษณ์ กล่าว หุ้นที่แนะนำการลงทุนในไตรมาส 2/53 คือ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) , บมจ.ปตท.เคมีเคิล (PTTCH),บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) ,ธนาคารกรุงไทย ( KTB) ,บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ,บมจ.ช.การช่าง ( CK) , บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) , บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) ,บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE), บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA) , บมจ.อสมท.(MCOT)

ส่วนหุ้นมาไวไปไว เช่น บมจ.ศุภาลัย (SPALI) , บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) ,บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) , บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA)


แท็ก จีดีพี   SET  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ