บมจ.ไซแมท เทคโนโลยี(SIMAT)ผู้ให้บริการสำหรับงานจัดข้อมูลองค์กรระบบบาร์โค้ด คาดปี 53 จะมีกำไรสุทธิดีกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 21.97 ล้านบาท เนื่องจากตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 1.8 พันล้านบาท จาก 543 ล้านบาทในปี 52 เนื่องจากปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากบริษัท E-Tech IT SDN. BHD. (ประเทศมาเลเซีย) ที่เข้าถือหุ้น 60% เต็มปี
ทั้งนี้ ไตรมาส 1/53 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/52 มาก
"สองเดือนกว่าที่ผ่านมาดีมานด์เก่าปีที่แล้วกลับมา ถือว่าไตรมาส 1 เข้าใจว่ามาจากเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ลูกค้าที่ชะลอการลงทุนกลับมาขยายการลงทุน" นายทองคำ มานะศิลปพันธ์ รองประธานกรรมการ SIMAT กล่าวกับ"อินโฟเควสท์
นายทองคำ คาดว่า ทั้งปีนี้จะรับรู้รายได้จาก E-Tech เพิ่มขึ้นเป็น 1.2-1.3 พันล้านบาท จากปีก่อนที่รายได้ในส่วนนี้เข้ามาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีประมาณ 549 ล้านบาท ขณะที่รายได้ในประเทศปีนี้เชื่อว่าจะขยายตัวขึ้น เนื่องจากมีลูกค้าใหม่เพิ่มเข้ามา และลูกค้าเก่าก็ส่งออเดอร์เข้ามาด้วย
"รายได้ปีนี้ตั้งไว้ 1,800 ล้านบาท น่าจะเป็นตัวเลขประมาณการที่ทำได้ ไม่อยากประมาณไกลแกินต้ว ถ้า bottom line ปีนี้ก็น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว เพราะอย่างน้อยที่ได้รับการการันตีกำไรก็ได้ประมาณเกือบ 20 ล้านบาท ที่เหลือก็เป็นฝีมือของ SIMAT เอง"นายทองคำ กล่าว
ทั้งนี้ E-Tech IT การันตีกำไรอย่างต่ำ 20 ล้านบาทในปีนี้ ตามสัญญาที่เข้าซื้อที่ทำไว้ และกิจการร่วมทุนในเวียดนาม มีการันตี 10 ล้านบาท รวม 2 รายการบริษัทจะรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นในมาเลเซีย 60% และในเวียดนาม 40% รวมเป็นประมาณ 16-17 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนในมาเลเซียคาดว่าจะคืนทุนได้ภายใน 2 ปี จากที่เข้าลงทุน 66 ล้านบาท จากธุรกิจที่เติบโตดี และ ยังมีการันตีกำไรให้ด้วย
นายทองคำ กล่าวว่า บริษัทได้รับลูกค้าใหม่เข้ามาทั้งลูกค้าในไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายการขยายธุรกิจให้กว้างขึ้นจากเดิมที่ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มค้าปลีก ก็จะขยายไปในกลุ่มโรงพยาบาล, Health Care ,โลจิสติกส์ และ Manufactoring โดยแผนขยายธุรกิจได้เลื่อนออกมาจากปีก่อนที่ภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย แต่ในปีนี้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว
ปัจจุบัน สัดส่วนลูกค้าจากต่างประเทศ 60-70% ส่วนใหญ่มาจากมาเลเซียและเวียดนาม
สำหรับยอดลูกค้าในมือที่เห็นชัดเจนในขณะนี้มียอดคำสั่งซื้อแล้วมากกว่า 400 ล้านบาท แบ่งรับรู้ไตรมาสละ 100 ล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้ารายได้ในไทย ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง และหากไม่มีเหตุรุนแรงถึงขั้นที่จะทำให้ลูกค้าชะลอกาลงทุน ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
*เล็งขยายตลาดต่างประเทศ พร้อมต่อยอดธุรกิจในไทย
นายทองคำ กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายประเทศที่เป็นเป้าหมายของบริษัทที่ต้องการขยายตลาด นอกเหนือจากเวียดนามและมาเลเซีย แต่ยังไม่ได้กำหนดแผนงานชัดเจนในการขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยจะรอดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม
"ตอนนนี้ยังไม่มีความชัดเจนออกมา ซึ่งต้องดูความเป็นไปได้การลงทุนในแต่ละประเทศ จะคุ้มการลงทุนไหม อย่างน้อยบริษัทที่เราเข้าไปดูมีเป้าหมายแล้วหรือยัง บางประเทศเห็นโอกาสดี แต่เราไม่รู้ว่าจะไปตรงไหน มันก็ไปไม่ได้"นายทองคำ กล่าว
อย่างไรก็ดี บริษัทมองโอกาสที่จะขยายฐานธุรกิจที่มีอยู่แล้วในเวียดนาม โดยอาจพัฒนาเป็นบริษัทค้าส่งควบคู่ไปกับการขายปลีก เพราะตลาดยังเติบโตได้อีกมาก ที่ผ่านมามียอดขายปีละประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนบริษัทในมาเลเซีย เห็นช่องทางที่จะขยายฐานลูกค้าไปในตลาดค้าปลีก และดูแลครบวงจรเช่นเดียวกับในไทย
นายทองคำ กล่าวว่า บริษัทยังได้ขยายธุรกิจค้าส่งในไทยแนวเดียวกับมาเลเซีย โดยจัดตั้งบริษัท E-TECH Distribution ดำเนินการในปีนี้ด้วยการเริ่มต้นเป็น distributor ให้กับเลอโนโว แต่มองว่าในอนาคตตลาดไทยจะขยายตัวมากกว่ามาเลเซีย เพราะจะเจาะเข้าตลาดภาครัฐกับองค์กรใหญ่ เนื่องจากมีกำลังซื้อสูง ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทไม่ได้เน้นขายให้กับบุคคลทั่วไป "เราเริ่มทำเราอยากดูตลาดมากกว่า และดูรูปแบบโมเดลธุรกิจจากมาเลเซียว่ายกมาทั้งรูปแบบทำได้หรือเปล่า ตรงนี้อยู่ในช่วงการศึกษา ลองผิดลองถูกอยู่ ยังคิดว่าคงไม่ชัดเจนที่จะไปทุ่มมาก ถ้าเห็นทิศทางตลาดชัดเจนแล้วค่อยทุ่ม"นายทองคำ กล่าว
ปัจจุบัน สินค้าหลักของบริษัทเป็นบาร์โค้ด และ RFID ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ เริ่มมีคนเริ่มรู้จักและหันมาใช้มากขึ้น โดยบริษัทก็จะขยายฐานลูกค้าและให้ความรู้กับตลาดมากขึ้น