บลจ.กสิกรฯ ปรับลดค่าธรรมเนียมซื้อขาย กองทุนทองคำ-น้ำมัน เหลือ 0.15%

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 25, 2010 14:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธนวัฒน์ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และจัดการกองทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ของกองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) และ กองทุนเปิดเค ออยล์ (K-OIL) จากเดิม 0.30% ลดลงเหลือ 0.15% เพื่อเอื้อต่อการเข้าลงทุนของผู้ลงทุนที่คาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำและน้ำมันดิบในอนาคต

แนวโน้มของราคาทองคำ มองว่าใน 3-6 เดือนข้างหน้าอาจเคลื่อนไหวแคบๆในช่วง 1,050-1,150 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจนในช่วงสั้นประกอบกับเงินดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทียบค่าเงินยูโรในระหว่างที่ยังไม่มีความชัดเจนในมาตรการช่วยเหลือประเทศกรีซจากกลุ่มสหภาพยูโรส่งผลลบต่อค่าเงินยูโรในช่วงนี้

อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวน่าจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งน่าจะลดแรงกดดันต่อค่าเงินยูโรไปได้บ้างและน่าจะช่วยผลักดันให้ราคาทองคำมีโอกาสขยับขึ้นไปจากช่วงดังกล่าว นอกจากนี้ ปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำยังคงมาจากหลายปัจจัย อาทิ แนวโน้มการอ่อนค่าลงต่อเนื่องในระยะยาวของเงินดอลลาร์จากภาวะขาดดุลการคลังสหรัฐฯในระดับสูง และแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่

ขณะที่ธนาคารกลางในเอเชียและกลุ่มประเทศเกิดใหม่น่าจะทยอยกลับเข้ามาเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อแทนการถือครองดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 53 ทั้งนี้ คาดว่าในระยะยาวราคาทองคำจะปรับตัวสูงกว่า 1,250 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุน K-GOLD เป็นทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนแฝงจากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขายทองคำแท่งได้ดี เพราะปกติหากลูกค้าทำการซื้อทองคำแท่งน้ำหนัก 1 บาทและขายออกทันที จะขาดทุนจากส่วนต่างนี้ประมาณ 100 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาทองคำแท่งปัจจุบันที่ประมาณบาทละ 16,850 บาท คิดเป็นต้นทุนประมาณ 0.60% แต่หากลูกค้าลงทุนในกองทุน K-GOLD และมีการซื้อ-ขายภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่บริษัทปรับลดลงมา รวมกับค่าธรรมเนียมอื่นๆ แล้ว อยู่ที่ไม่เกิน 0.50% ซึ่งถูกกว่าการซื้อและขายทองคำแท่งโดยตรง

นอกจากนี้ ยังไม่ต้องกังวลกับการสูญหายและต้นทุนเกี่ยวกับการ เก็บรักษา ส่วนการซื้อ-ขายกองทุน K-GOLD ก็ทำได้สะดวกทั้งที่สาขาธนาคารกสิกรไทย เอทีเอ็ม และอินเทอร์เน็ต โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปด้วยตนเองเหมือนการขายทองคำแท่งที่ต้องไปขายยังร้านที่ซื้อทองคำแท่งมา

สำหรับทิศทางการลงทุนในกองทุน K-OIL เป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนจากราคาน้ำมันในปี 53 ที่มีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นอีก ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง และยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มฟื้นตัวโดยเฉพาะประเทศนอกกลุ่ม OECD รวมถึงถึงปัญหาความตึงเครียดของประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ เช่น ปัญหาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันของกลุ่มกบฏในประเทศไนจีเรีย ยังคงมีความยืดเยื้อ ซึ่งคาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ในช่วง 70-85 ดอลลาร์/บาร์เรล สูงกว่าปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 62.09 ดอลลาร์/บาร์เรล

นายธนวัฒน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากองทุน K-GOLD และกองทุน K-OIL ได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดี ส่งผลให้ทั้ง 2 กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงที่สุดในอุตสาหกรรมเมื่อเทียบกับกองทุนอื่นๆ ในประเภทเดียวกัน โดย ณ วันที่ 19 มี.ค.53 กองทุน K-GOLD มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 1,658.32 ล้านบาท และกองทุน K-OIL มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 708.69 ล้านบาท กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนที่เน้นลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน พร้อมนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกิน 4 ครั้ง/ปี

ส่วนกองทุนเปิดเค ออยล์ (K-OIL) เป็นกองทุนรวมหน่วยลงทุนที่เน้นลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน PowerShares DB Oil Fund โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ