นายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บมจ.นวนคร (NNCL) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทมียอดขายที่ดินที่ทำสัญญาแล้ว 300 กว่าล้านบาทในช่วงไตรมาส 1/53 ถือว่าเกินครึ่งจากเป้าหมายทั้งปี 53 ที่ตั้งยอดขายที่ดินไว้ 500 ล้านบาทแล้ว และยังอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าใหม่อีกกว่า 10 ราย คาดว่าอีก 2-3 เดือนน่าจะได้ข้อสรุปราว 2-3 ราย จากที่เคยชะลอการเจรจาไปก่อนหน้านี้เพื่อรอดูสถานการณ์ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม สำหรับยอดขายที่ดินในไตรมาส 1/53 คาดว่าจะเป็นการทยอยรับรู้รายได้ประมาณ 180-200 ล้านบาท
"ตั้งแต่ต้นปี 53 เรามีสัญญานการกลับมาของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งลูกค้าเดิมที่จะขยายกำลังการผลิตและลูกค้ารายใหม่ ผมว่ามันเกิดจากการที่อั้นมาตั้งแต่ปีก่อน ทุกอย่างแย่ไปหมดจะลงทุนก็กลัวทั้ง ๆ ที่มีความพร้อมอยู่แล้ว ทำให้รอดูก่อนกันหมด แต่จากตัวเลขไตรมาส 1 ปีนี้เป็นที่น่าพอใจมากและมากกว่ายอดขาย 2 ปีรวมกันอีก ปี 51 มียอดขายที่ดิน 100 ล้านบาท ปี 52 มียอดขายที่ดิน 50-60 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนไตรมาสที่เหลือเราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก"นายนิพิฐ กล่าว
สถานการณ์ที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนเพื่อขยายกิจการทั้งลูกค้าเดิมและใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปี จากปีก่อนที่มีบริษัทมียอดขายที่ดินเพียง 50-60 ล้านบาท และส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทได้ปรับกลยุทธการขายที่ดินในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น การเชิญมาดูที่ดินเป็นกลุ่มธุรกิจ การจัดโซนที่ดินเป็นแต่ละประเทศ เป็นต้น ซึ่งสัญญานการกลับมาของลูกค้าดังกล่าวก็เชื่อว่าในไตรมาสที่เหลือก็จะเข้ามาต่อเนื่องเช่นกัน
นายนิพิฐ กล่าวว่า จากสถานการณ์ยอดขายที่ดินที่ดีขึ้น จะทำให้สัดส่วนรายได้หลักของบริษัทในปีนี้จะมาจากการขายที่ดินประมาณ 50-60% เพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 52 โดยการขายที่ดินส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนครที่ จ.ปทุมธานี 80% ส่วนอีก 20% เป็นนิคมอุตสาหกรรมนวนครโคราช จ.นครราชสีมา และสัดส่วนรายได้จากบริการสาธารณูปโภคและอื่นๆ อยู่ที่ 49% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 80-90%
บริษัทยังไม่มีแผนปรับราคาขายที่ดินในขณะนี้ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว ลูกค้าก็เพิ่งกล้ากลับมา ลงทุน ขณะเดียวกันบางจุดในนิคมบริษัทอาจจะมีการลดราคาขายด้วย ปัจจุบันราคาขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมนวนครปทุมธานีเฉลี่ย 4.5-5 ล้านบาทต่อไร่ และราคาขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมนวนครโคราชอยู่ที่ 1.2-1.5 ล้านบาทต่อไร่
กรรมการผู้จัดการ NNCL กล่าวต่อว่า นอกจากยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว ปริมาณการใช้น้ำในนิคม ฯ ก็เพิ่มขึ้นตามจำนวนลูกค้า ซึ่งสอดคล้องกับแผนขยายกำลังการผลิตน้ำประปาเพื่อขายในนิคมเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 หมื่นลูกบาศก์เมตร/วัน จาก 4.5 หมื่นลูกบาศก์เมตร/วันในปัจจุบัน ด้วยการลงทุนท่อน้ำและเครื่องผลิตน้ำ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 80-100 ล้านบาท โดยจะส่งผลต่อรายได้อย่างมีนัยสำคัญในปี 54 เนื่องจากจะต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 6-10 เดือน
ปัจจัยที่สนับสนุนทั้งจากยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้นและปริมาณการขายน้ำที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้บริษัทคาดว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่กำไรคาดว่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกัน จากสัญญาณการฟื้นตัวที่เห็นได้ชัด แต่บริษัทก็ไม่ได้ประมาทและใช้วิธีการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบที่สุดภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ามีลูกค้าบางรายที่ชะลอการซื้อที่ดินเช่นกัน
ส่วนธุรกิจไฟฟ้าที่บริษัทได้ร่วมทุนพัฒนาและดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้า Cogeneration ขนาด 240 MW ใช้ก๊าซธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิงหลักในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร จ.ปทุมธานี คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการก่อสร้างภายใน 2-3 ปี ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังเตรียมข้อมูลที่จะยื่นขออนุมัติกับกระทรวงพลังงาน