บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น(UNIQ)เชื่อมีลุ้นได้งานประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และ บางซื่อ-ท่าพระ ที่จะยื่นซอง 5 สัญญาปลายเม.ย.นี้ เนื่องจากมีประสบการณ์ได้งานโครงการรถไฟชานเมือง(สายสีแดง)ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในนามกิจการร่วมค้ายูนิค-ชุนวู โดยอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรจับมือยื่นประมูล ขณะที่บางสัญญาอาจบินเดี่ยว
ขณะที่ช่วง 2 เดือน ราคาหุ้น UNIQ มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น เห็นว่านักลงทุนมองมีโอกาสร่วมลุ้นประมูลงานเมกะโปรเจ็คต์กับกลุ่มรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่
"เรื่องความคาดหวังเราก็อยากจะได้งาน แต่ที่นี้เป็นเรื่องของการประมูล ดูจากคู่แข่งเราก็มีโอกาสได้งาน" นายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการ UNIQ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
นายนที กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทเน้นงานใหญ่ที่จะเข้าประมูลงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่เปิดประมูล 5 สัญญา โดยบริษัทเตรียมเข้ายื่นซองประมูลปลายเดือน เม.ย. และคาดว่ากลางปีจะรู้ผล โดยบางสัญญาอาจจะเข้าประมูลเอง และบางส่วนก็กำลังเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งบริษัทมั่นใจว่ามีโอกาสได้งานสูงหลังจากสอบผ่านงานโครงการรถไฟชานเมือง(สายสีแดง)ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในนามกิจการร่วมค้ายูนิค-ชุนวู ที่มีมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านบาทมาแล้ว
"สัญญาก่อสร้างทั้ง 5 สัญญาเราเข้าได้หมด ตอนนี้เรากำลังศึกษาและเตรียมการยื่นประมูล ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ 100% ว่าจะเข้าทุกสัญญาไหม เราดูความเหมาะสมอยู่ เราสร้างคนเดียวก็ได้ บางสัญญาเราอาจร่วมกับใคร ตอนนี้ก็คุยหลายราย มีต่างชาติเป็นหลัก รวมถึงจีน แต่ไม่ใช่ซุนวูจากฮ่องกง เขาคงไม่เข้ามาร่วม"นายนที กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังมีงานภาครัฐอื่นๆ อีก เช่น งาน กทม. งานเขื่อนกั้นน้ำชลประทาน ซึ่งงานเหล่านี้แต่ละงานมีมูลค่าไม่มากนัก
สำหรับแหล่งเงินทุนในการรับงานงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน มีแนวทางอาจใช้เงินกู้จากธนาคาร หรือ อาจออกตราสารหนี้หรือเพิ่มทุน โดยที่ผ่านมา ได้รับเงินกู้สนับสนุนจากธ.กรุงไทย (KTB)ในโครงการถไฟฟ้าสายสีแดง
"เรื่องเพิ่มทุนต้องดูให้ดี ดูดีในแง่ราคาหุ้น เพราะจะกระทบกับ dilution ของกำไรต่อหุ้น เพราะฉะนั้น การเพิ่มทุน เป็นแค่ทางเลือกที่เรามอง ดังนั้นคนมักจะถามว่า เราต้องเพิ่มทุนไหม ซึ่งเราคิดว่าใม่ใช่ เรื่องเพิ่มทุนเป็นแค่ข่าวที่ทำให้ราคามันขึ้น แนวทางอาจจะไม่เกิดขึ้น"นายนที กล่าว
อย่างไรก็ตาม การหาแหล่งเงินไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เพราะต้องรอผลการประมูลออกมาก่อน
นายนที กล่าวว่า บริษัทเชื่อว่าในปีนี้จะมีกำไรสุทธิไม่น้อยกว่าปีก่อนที่มีกำไร 139.53 ล้านบาท เพราะบริษัทตั้งเป้าหมายรักษาอัตรากำไรชั้นต้น(มาร์จิ้น)ไว้ที่ 5% ใกล้เคียงปีก่อน ขณะที่คาดว่าจะมีรายได้ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท รับรู้จากงานในมือที่มีประมาณ 8 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานรถไฟฟ้าสายสีแดงที่ทยอยรับรู้รายได้ 3 ปี หลังจากเซ็นสัญญาเมื่อต้นปี 52
สำหรับไตรมาส 1/53 คาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่าไตรมาส 4/52 ที่มีรายได้ประมาณ 800 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่ายอดรับรู้รายได้ในปีนี้จะมีจำนวนใกล้เคียงกันในทุกไตรมาส
"มาร์จิ้นจากงานในมือน่าจะอยู่ 5% ใกล้เคียงกับปีก่อน ปีนี้เราพยายามทำกำไรไม่ให้น้อยกว่าปีที่แล้ว" นายนที กล่าว
ในด้านต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวขึ้นมาในขณะนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับบริษัทมากนัก เพราะบริษัทจะคิดราคางานตามราคาวัสดุจริง และในการเข้าประมูลโคงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินก็ได้คิดเผื่อเรื่องนี้ไว้แล้ว ส่วนงานภาครัฐ ก็มีค่า k เข้ามาช่วยอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ราคาหุ้น UNIQ ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.ที่ผ่านมา มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นกว่าปกติขึ้น โดยกลางเดือน มี.ค.มีมูลค่าซื้อขายระดับ 1 พันล้านบาท นายนที คาดว่า เป็นเพราะนักลงทุนเห็นว่า UNIQ มีโอกาสได้งานเมกะโปรเจ็คต์เพิ่มเติม หลังจากที่ได้งานรถไฟฟ้าสายสีแดง
"ผมว่าราคาหุ้นคงอยู่ที่ต่างประเทศเขาเข้ามาซื้อ เพราะภาพรวมต่างประเทศ เข้ามาซื้อกระจายไปทุกกลุ่ม ผมคิดว่าทีมีวอล่มการซื้อขายมาก เพราะนักลงทุนให้ความสนใจ" นายนที กล่าว
"ผมคิดว่าเป็นเพราะเราแสดงให้เห็นว่าเรามีความพร้อมรับงานใหญ่ สายสีแดงเป็นตัวหัวใจสำคัญ เพราะสายสีแดงเป็นเมกะโปรเจกค์ตัวแรก และคนที่ได้คือ UNIQ ความหมายคือว่าแต่เดิมคนอาจมองว่าคนที่ทำเมกะโปรเจ็กค์ได้ก็มีแค่ อิตาเลียนไทย ช.การช่าง และ ซิโนไทย มี 3 ราย ตอนนี้เป็น 4 ราย และเราคือรายที่ 4 ที่มีโอกาส(ได้งาน)และมีโอกาสเช้าประมูลทุกสาย"ประธานกรรมการ UNIQ กล่าว