ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 มี.ค.) หลังจาก ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐเปิดเผยว่า ภาคเอกชนในสหรัฐลดการจ้างงานลงในเดือนมี.ค. ซึ่งข้อมูลการจ้างงานของ ADP ทำให้นักลงทุนกังวลว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ จะปรับตัวลดลงสวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 50.79 จุด หรือ 0.47% แตะที่ 10,856.63 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 3.84 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 1,169.43 จุด และดัชนี Nasdaq รูดลง 12.73 จุด หรือ 0.53% ปิดที่ 2,397.96 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 8.47 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 2
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาหลังจาก ADP Employer Services รายงานว่า ภาคเอกชนของสหรัฐลดการจ้างงานลง 23,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าภาคเอกชนจะเพิ่มการจ้างงาน 40,000 ตำแหน่ง
ข้อมูลด้านการจ้างงานของ ADP ทำให้นักลงทุนกลับมาวิตกกังวลเรื่องภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานอีกครั้ง และเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payroll) เดือนมี.ค.ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้นั้น จะเพิ่มขึ้นตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้หรือไม่ โดยนักวิเคราะห์จากหลายสำนักคาดว่าตัวเลขจ้างงานเดือนมี.ค.จะเพิ่มขึ้นราว 190,000- 200,000 คน และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมี.ค.จะทรงตัวที่ระดับ 9.7%
นอกจากนี้ ทางการสหรัฐรายงานว่ายอดสั่งซื้อของโรงงานภายในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.พ. ซึ่งแม้ว่าปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังน้อยว่าสถิติในเดือนม.ค.ที่ยอดสั่งซื้อทะยานขึ้น 2.5%
หุ้นกลุ่มพลังงาน รวมถึงหุ้นเชฟรอน ปิดบวกสวนทางการติดลบโดยรวมของตลาด หลังจากมีรายงานว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ จะอนุญาตให้มีการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งสหรัฐในมหาสมุทรแอตแลนติกและอ่าวเม็กซิโก โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยให้สหรัฐลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน ควบคู่ไปกับการควบคุมความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยคำสั่งห้ามขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งตะวันตกและตะวันออกและพื้นที่บางส่วนในรัฐอลาสก้า ได้หมดอายุลงตั้งแต่ปี 2551