หุ้น SCC ราคาวิ่งขึ้น 3.89% มาอยู่ที่ 267 บาท เพิ่มขึ้น 10 บาท มูลค่าซื้อขาย 535.09 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.44 น. โดยเปิดตลาดที่ 263 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 267 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 262 บาท
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)โดยปรับราคาเป้าหมายตามปัจจัยพื้นฐานใหม่เพิ่มจาก 260 บาท/หุ้น เป็น 290 บาท/หุ้น โดยระบุว่า ส่วนต่างระหว่างผลิตภัณฑ์โอเลฟสินส์ต่อแนฟทาที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องไปจนถึงช่วง 1H/53 คาดจะทำให้ผลประกอบการในช่วง 1H/53 ของ SCC ออกมาเหนือกว่าที่ Consensus คาดการณ์ และอาจทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2553 เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ ได้ปรับสมมติฐานส่วนต่างระหว่างผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ขึ้นจากเฉลี่ยที่ $300ต่อตัน เป็น $350-400 ต่อตัน ขณะที่ผลการดำเนินงานในธุรกิจซีเมนต์และกระดาษยังขยายตัวแข็งแกร่ง ดังนั้น จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2553 เพิ่มขึ้น 17% เป็น 25,500 ล้านบาท
ภาพรวม 3 ธุรกิจหลักของ SCC ที่ยังเติบโตดีต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยยอดขายซีเมนต์ใน Q1/53 คาดจะปรับขึ้น 6% yoy ตามการเติบโตของการก่อสร้างทั้งจากรัฐบาลและเอกชน หนุนให้รายได้ใน Q1/53 เติบโต 2% yoy สำหรับการเริ่มสะสมสินค้าคงคลังก่อนวันหยุดปีใหม่ของจีน ทำให้อุปสงค์การใช้กระดาษและปิโตรเคมียังทรงตัวอยู่ในระดับสูงและคาดรายได้ในธุรกิจดังกล่าวจะปรับขึ้น 18% และ 28% yoy ตามลำดับ และผลักดันให้รายได้รวมใน Q3/53 เติบโต 20% yoy เป็น 66,407 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้ม EBITDA Margin ของ SCC ยังทรงตัวในระดับสูงที่ 18.44% เปรียบเทียบกับ 19.8% ใน Q1/52 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ต่อแนฟทาเฉลี่ยยังอยู่สูงกว่า $590 ต่อตัน เปรียบเทียบกับราคาเฉลี่ย $490 ต่อตันใน Q1/52 ปัจจัยดังกล่าว จึงทำให้กำไรสุทธิใน Q1/53 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 27% yoy จาก 5,188 ล้านบาท ในปี Q1/52 เป็น 6,600 ล้านบาท
ขณะที่วานนี้ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCC) ระบุว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนในธุรกิจวัสดุก่อสร้างและธุรกิจผลิตกล่องกระดาษในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นดีลขนาดเล็กที่มีมูลค่าโครงการไม่ถึงหลักพันล้านบาท