SIRI เผย Q1/53 ทำยอดขาย 5.2 พันลบ.ทะลุเป้า ยอดโอน 6.5 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 1, 2010 17:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ(SIRI)เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 53 กลุ่มแสนสิริทำยอดขายรวมได้ถึงประมาณ 5,200 ล้านบาท เกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ 22,000 ล้านบาท จึงเชื่อมั่นว่ากลุ่มแสนสิริจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าแน่นอน

ยอดขายดังกล่าวมาจากทั้งโครงการคอนโดมิเนียม PYNE by Sansiri ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลาเพียง 1 วัน รวมทั้งโครงการบ้านเดี่ยวและโครงการทาวน์เฮาส์

นอกจากนี้ ในปีนี้กลุ่มแสนสิริจะต้องส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าตามสัญญาเป็นมูลค่าเกือบ 17,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดการโอนที่สูงมากในอันดับต้น ๆ ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยในไตรมาส 1/53 สามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าได้ถึง 1,191 ยูนิต มูลค่าประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยเฉพาะในเดือน มี.ค.53 เพียงเดือนเดียวมียอดโอนสูงถึง 4,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดโอนในไตรมาส 1/53 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณ 5,200 ล้านบาท และมากกว่ายอดโอนในช่วงเดียวกันของปี 52 คิดเป็น 126% โดยแบ่งเป็นยอดโอนโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 568 ยูนิต มูลค่าประมาณ 3,700 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 432 ยูนิต มูลค่า 2,100 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์จำนวน 191 ยูนิต มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท

"ปัจจัยที่สนับสนุนให้การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปี 53 นี้ เกิดจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้เป็นอย่างดี ประกอบกับผลจากการขายที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่เพื่อรองรับการโอนก่อนมาตรการลดหย่อนภาษีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะหมดลง ส่งผลให้มียอดโอนจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง"นายเศรษฐา กล่าว

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจช่วงไตรมาส 2/53 ของกลุ่มบริษัทแสนสิริจะเน้นใช้กลยุทธ์การทำการตลาดภายใต้แนวคิด ‘THE ICONIC LIVING’ ซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์การทำการตลาดตลอดปี 53 ในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของลูกบ้านหรือเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยในชีวิตเมืองอย่างแท้จริง ขณะที่มียอดขายล่วงหน้าที่รอรับรู้รายได้ในอีก 1-3 ปี ประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงระยะยาวให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี

นายเศรษฐา กล่าวว่า การที่รัฐบาลขยายระยะเวลาสิ้นสุดมาตรการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 2 เดือน นับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย จะได้มีระยะเวลาในการเลือกที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและสามารถขยายเวลาการตัดสินใจซื้อได้เพิ่มขึ้น ในส่วนของผู้ประกอบการเองก็เป็นช่วงเวลาที่จะเร่งออกแคมเปญกระตุ้นการขาย เพื่อระบายสินค้าที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีกระแสเงินสดหมุนเวียนและลดภาระต้นทุน ทั้งนี้ คาดว่าการซื้อขายที่อยู่อาศัยน่าจะมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ