นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผุ้จัดการ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าติดอันดับ 1 ใน 5 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ทางด้านยอดขายและผลประกอบการ รวมถึงปริมาณการขาย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทเติบโตต่อเนื่องทั้งด้านยอดขายและการเปิดโครงการ
ทั้งนี้ โดยเฉพาะไตรมาส 1/53 บริษัทมียอดขายกว่า 5 พันล้านบาท จากปกติมียอดขายประมาณ 3.7 พันล้านบาท และจากการที่ยอดขายเติบโตได้ดีตั้งแต่ต้นปี จึงคาดว่ารายได้ทั้งปีของปี 53 มีแนวโน้มสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.1 หมื่นล้านบาท เพราะปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานคงค้างในมือที่รอรับรู้รายได้ 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นการทยอยรับรู้ฯ ตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 56
นายอธิป กล่าวว่า การที่รัฐบาลตัดสินใจขยายเวลามาตรการลดค่าธรรมเนียมเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ออกไปอีก 2 เดือนจากสิ้นเดือน มี.ค.53 จะส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อและเร่งโอนเร็วขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีบ้านที่สร้างเสร็จแล้วอยู่ระหว่างรอการขายจำนวน 700-800 ยูนิต มูลค่า 3-4 พันล้านบาท รวมทั้งมีการจัดทำแคมเปญเพื่อกระตุ้นลูกค้าทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่
ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้รวมในไตรมาส 1/53 จะอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 2 พันล้านบาท เนื่องจากบรรยากาศที่ดีกลับคืนมาตามฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผู้บริโภค ซึ่งสัญญาณจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้บริษัทมีแผนเร่งเปิดโครงการให้เร็วขึ้น ทั้งโครงการคอนโดมีเนียมและแนวราบ ซึ่งที่เดิมบริษัทมีแผนจะเปิดในไตรมาส 4/53 ก็จะเร่งขึ้นมาเป็นช่วงไตรมาส 3/53
ขณะที่ไตรมาส 2/53 บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ไม่มากนักแค่ 1-2 โครงการ แต่ทั้งปีบริษัทวางแผนไว้ว่าจะเปิดโครงการทั้งหมด 15 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด และในปีนี้จะเห็นการเปิดโครงการบ้าน BOI อีก 2 โครงการทั้งคอนโดมีเนียมและบ้านเดี่ยวมูลค่ารวม 1.6-17 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่ามูลค่ารวมในปีก่อนที่มีจำนวน 500-600 ล้านบาท
นายไตรเตชะ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากเป็นพื้นที่ใกล้ประเทศไทย แต่คงยังไม่เห็นใน 1-2 ปีนี้ เพราะจะให้ความสำคัญในการขยายตลาดต่างจังหวัดทั้งที่มีโครงการพัฒนาอยู่แล้วและที่ยังไม่มีการพัฒนา ทั้งภูเก็ต หาดใหญ่ ขอนแก่น และ เชียงใหม่ ที่ยังมีการขยายตัวที่สูง
ส่วนแผนการออกหุ้นกู้ที่บริษัทได้มีการขออนุมัติผู้ถือหุ้นจำนวน 5 พันล้านบาทนั้น บริษัทคงต้องรอพิจารณาจังหวะและบรรยากาศที่เหมาะสมโดยจะเป็นการทยอยออก