โบรกเกอร์มองการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในย่านธุรกิจสำคัญอย่างแยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของเศรษฐกิจ ช่วงสั้นคงยังไม่เห็นถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมชัดเจนนัก แต่หากมองในแง่ของ Sentiment กระทบแน่ต่อธุรกิจในละแวกดังกล่าว และยังกระทบต่อกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันด้วย แน่นอนจะทำให้การบริโภคชะลอตัว หากกระจายไปย่านธุรกิจอื่น ๆ และหากยืดเยื้อเกิน 10 วันจะเริ่มแย่
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เข้มแข็งกว่าปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นความต้านทานของเศรษฐกิจไทยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้จึงสูงกว่าปีที่ผ่านมา แรงกระทบไม่มากเท่าครั้งก่อน ๆ หากการชุมนุมแยกราชประสงค์จบได้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ ผลกระทบคงไม่มากนัก แต่จุดที่น่าห่วงที่สุด คือ ท่องเที่ยวและค้าปลีก เนื่องจากบริเวณนี้มีโรงแรมและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จำนวนมาก ด้านค้าปลีกคงฟื้นตัวกลับมาได้ไม่ยาก แต่ผลกระทบด้านท่องเที่ยวคงต้องรอประเมินสถานการณ์
ส่วนตลาดหุ้นไทยตอนนี้ต่างชาติเริ่มชะลอการลงทุนเพื่อรอดูเหตุการณ์การเมืองก่อน ส่วนนักลงทุนในประเทศอยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์ก็มีความวิตกกังวลแล้ว ไม่ค่อยกล้าลงทุนในช่วงนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นทั่วโลกแข็งแรงมาก แนวโน้มยังเป็นขาขึ้นอยู่ ดังนั้น นักลงทุนระยะยาวคงจะเข้าซื้อ ช่วงสั้นตลาดฯก็แค่รับ Sentiment เชิงลบไปบ้าง วันสองวันนี้ก็จะสะท้อนความกังวลดังกล่าว
*เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การเมืองในครั้งนี้อย่างไร
น.ส.ถนอมศรี ฟองอรุณรุ่ง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.ภัทร(PHATRA)กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ว่า "ช่วงสั้นยังไม่เห็นถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่หากมองในแง่ของ Sentiment จะกระทบแน่ต่อธุรกิจในระแวกนั้น และยังกระทบต่อกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบในส่วนของการบริโภคที่ชะลอตัวบ้าง แต่ยังคงจำกัดในพื้นที่ที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่หากการชุมนุมฯมีการแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ อีก ผลกระทบก็จะมากขึ้นไปด้วย"
"ตอนนี้ก็ต้องรอดูว่าการชุมนุมฯจะแพร่ไปที่อื่นอีกหรือไม่ และจะยืดเยื้อไปมากแค่ไหน หากยืดเยื้อ 10 วันขึ้นไปก็จะเริ่มแย่แล้ว ซึ่งก็ต้องดูไตรมาส 2/53 ว่าจะชุมนุมฯต่อเนื่องยาวไหม เพราะมันจะกระทบในส่วน consumer และ investment"
ขณะที่ นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า "ช่วงสั้นเป็นเรื่องของจิตวิทยาก่อน ดูดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในช่วงนี้เริ่มอ่อนตัวลงมาในช่วงเดือนล่าสุดที่เริ่มมีการชุมนุมฯกัน ก็คิดว่าเรื่องของการบริโภค ความมั่นใจก็อาจจะมีการชะลอลงบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงกับเลวร้าย เพราะว่ายังไม่ถึงกันรุนแรงอะไร แต่เป็นการเปลี่ยนจากสถานกาณ์สงบแล้วก็กลับมาขยับขึ้น แล้วมาอยู่ในพื้นที่ที่จะกระทบในเรื่องของความรู้สึกในเชิงเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งก็เป็นตัวแทนของเศรษฐกิจมากขึ้น พูดง่าย ๆ การชุมนุมฯตรงนี้เป็นตัวแทนของพื้นที่ที่เป็นเศรษฐกิจ"
"ก็ต้องยอมรับในช่วงเดือนเมษานี้ ก็คงอาจจะมีผลกระทบบ้างในเดือนนี้ แต่เรายังไม่รู้ว่าจะไปถึงไหน แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะเกินช่วงสงกรานต์ แต่ผมยังมองค่อนข้างในเชิงบวกว่ามันจะไม่แรงเท่ากับครั้งที่แล้ว ผลกระทบทางเศรษฐกิจมีบ้าง แต่รวม ๆ ภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เข้มแข็งกว่าปีที่ผ่านมา อัตราการว่างงาน การส่งออก เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดฯในการลงทุนในเมืองไทยยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นความอดทนของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จึงสูงกว่าปีที่ผ่านมา แรงกระทบจึงไม่มากกว่าครั้งที่แล้ว"
"ส่วนตัวเลข GDP ปีนี้มองค่าเฉลี่ยไว้ที่ 3.8% แต่มองกรอบไว้ 3.3-4.3% เหตุการณ์การเมืองถ้าไม่รุนแรง เราก็คงจะเข้าใจได้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ ถ้าจบได้ก่อนสงกรานต์ ผลกระทบไม่มากเท่าไร และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ๆ ที่อาจจะดีกว่าคาด net ไป net มาก็คงจะไม่ถึงกับต้องเปลี่ยนเป้า
แต่จุดที่อาจจะต้องปรับในระดับอุตสาหกรรมก็อาจจะเป็นท่องเที่ยว เราห่วงที่สุดคือท่องเที่ยว ที่อยู่ตรงราชประสงค์ใหญ่ ๆ ก็คือ ท่องเที่ยว และค้าปลีก แถวนี้มีโรงแรม และห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ แต่ค้าปลีกเดี๋ยวก็คงจะกลับมาได้ เพราะครั้งที่ผ่านมาเดี๋ยวลงแล้วก็ฟื้นขึ้นมา แต่ท่องเที่ยวต้องดูสถานการณ์ประเมินว่าจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็ค่อนข้างให้น้ำหนักว่าไม่มีความรุนแรง ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้วที่เห็นว่ามีความน่ากลัว แต่ถ้ายืดเยื้อการท่องเที่ยวก็จะกระทบมากหน่อย"
*สถานการณ์การเมืองส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ฝ่ายวิจัย PHATRA กล่าวว่า "ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นมาได้ด้วยเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามา ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และในตอนนั้นนักลงทุนต่างชาติก็เห็นว่าการชุมนุมไม่ได้มีอะไร แต่ตอนนี้ต่างชาติเริ่มที่จะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูเหตุการณ์ก่อน ส่วนนักลงทุนในประเทศอยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์ ก็มีความวิตกกังวลแล้วไม่ค่อยกล้าที่จะลงทุนในช่วงนี้อยู่แล้ว"
"ตอนนี้ฝ่ายวิจัยยังคงตั้งเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้(53)ไว้ที่ 850 จุด ค่า P/E ประมาณ 10-11 เท่า EPS Growth ก็ประมาณ 20% ในปีนี้ ซึ่งตอนนี้กำลังรอดูเหตุการณ์การเมืองอยู่ หากไม่อะไรขึ้นมาทางฝ่ายวิจัยก็พร้อมที่จะมีการปรับเป้าหมาย"
ขณะที่ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า "ผมคิดว่าตลาดหุ้นทั่วโลกแข็งแรงมาก แนวโน้มยังเป็นขาขึ้นอยู่ ดังนั้น คิดว่าหุ้นที่ลง นักลงทุนระยะยาวคงจะเข้าซื้อ อย่างของไทยเองก็มีนักลงทุนสถาบันหลายแห่งที่จะซื้อลงทุนระยะยาวได้ก็คงจะเข้าซื้อเหมือนกัน ก็คงมองไปที่ระยะยาวแล้วว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ซึ่งมันก็ชัดเจนแล้วว่ามีสัญญาณที่จะฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ เช่นตัวเลขการจ้างงานก็สูงขึ้น ตัวเลขการผลิตก็สูงขึ้น เป็นจุดที่ support ตลาดอยู่ ช่วงสั้นตลาดฯแค่รับ Sentiment เชิงลบไปนิดหน่อยเท่านั้น คิดว่าวันสองวันนี้ก็จะสะท้อนความกังวลดังกล่าว"
"สำหรับเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้มองไว้ที่ 880 จุด, ค่า P/E 13 เท่า, EPS Growth 16% จากปีที่แล้ว ซึ่งสถานการณ์การเมืองในเวลานี้คงจะต้องรอดูก่อน และยังไม่คิดที่จะมีการปรับเป้าดัชนีฯในตอนนี้"
ดัชนี SET ปิดเที่ยงวันนี้ลดลง 4.44 จุด มาที่ 796.71 จุด(-0.55%)