โบรกเกอร์สนับสนุน"ซื้อ"หุ้นธนาคารกรุงเทพ(BBL)มองว่าสินเชื่อทั้งปี 53 จะเติบโตได้ราว 4-7 ภายใต้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวในระดับ 3.5-4.7% แถมยังมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นธนาคารสินเอเชีย(ACL)ให้กับ ICBC อีกกว่า 1 พันล้านบาทที่จะบันทึกเข้ามาภายในไตรมาส 2/53
ประเมินไตรมาส 1/53 การปล่อยสินเชื่อ BBL อาจจะเติบโตไม่มากนัก แต่ทั้งปียังได้ตามเป้า โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น และยิ่งหากปัญหามาบตาพุดคลี่คลายลงได้ ก็จะช่วยผลักดันยอดการปล่อยสินเชื่อให้ปรับตัวดีขึ้นมาก ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตได้ดี และ NIM น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน
ขณะที่ BBL มีการกระจายความเสี่ยงด้วยการขยายธุรกิจในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศที่มีอัตราการขยายตัวสูงกว่าไทย
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท)
บล.ฟิลลิป ซื้อ 157.00
บล.โกลเบล็ก ซื้อ 150.00
บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 150.00
บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 144.00
บล.ซิกโก้ ซื้อ 150.00
บล.ทิสโก้ ซื้อ 158.00
บล.บัวหลวง ซื้อ 150.00
น.ส.ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า BBL ยังคงเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อในปีนี้ 4-5% แม้สินเชื่อไตรมาสแรกยังขยายตัวได้ต่ำ แต่ธนาคารยังมีรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี จึงคาดว่าจะทำให้กำไรงปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ยอดสินเชื่อสุทธิช่วง 2 เดือนแรกของปี 53 ขยายตัว 0.3% จากเมื่อสิ้นปี 52 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ(NIM) คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3% จาก 2.9% ในปีก่อน รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวอย่างน้อย 6-7% และอาจเติบโตได้ถึง 10% จาก Loan-related fee และ Trade Finance หลังจากธุรกิจในประเทศกลับมาขยายตัวได้ดี รวมถึงธุรกิจต่างประเทศ นอกจากนี้ในส่วนของสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)คาดว่าจะทรงตัวจากปีก่อน
บล.ฟิลลิปฯ คาดกำไรสุทธิของ BBL ไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 5.39 พันล้านบาท ปรับลดลง 9.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 5.97 พันล้านบาท เนื่องจากกำไรจากการขายสินทรัพย์ลดลงและภาระภาษีเพิ่มขึ้น ส่วนทั้งปี 53 คาดการณ์กำไรไว้ในระดับ 2.25 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
พร้อมทั้ง ให้ราคาเป้าหมายหุ้น BBL ไว้ที่ 157 บาท จากสมมุติฐานสินเชื่อโต 5% และรายได้ค่าธรรมเนียมโต 7% รวมทั้งมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้น ACL เข้ามา 1.40 พันล้านบาทหลังภาษี คาดว่าจะบันทึกเข้ามาในไตรมาส 2/53
ขณะที่ นักวิเคราะห์จาก บล.ยูไนเต็ด กล่าวว่า สินเชื่อของ BBL ในปี 53 น่าจะเติบโตได้ 5-6% ภายใต้สมมุติฐานการเติบโตของจีดีพีที่ 3.5-4.5% โดยปีนี้ BBL ตั้งเป้ารุกสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อต่างประเทศ เพราะมองเห็นศักยภาพการเติบโต ขณะที่จะมีการเพิ่มฐานลูกค้าเงินฝากให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาส 1/53 คาดว่าสินเชื่ออาจจะเติบโตไม่มากนัก แต่จะไปดีในช่วงปลายปีที่ความต้องการสินเชื่อน่าจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหากการแก้ไขปัญหามาบตาพุดสำเร็จได้ จะทำให้ BBL ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของสินเชื่อรายใหญ่ค่อนข้างมาก และอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังด้วย
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ(NIM)ตอนยังใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3% เชื่อว่าการแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้อัตราผลตอบแทนลดลง แต่คาดว่า NIM คงถึงจุดต่ำสุดแล้วในช่วงไตรมาส 1-2 ปีนี้ และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี
สำหรับการขายหุ้น ACL คาดว่าจะได้รับเงินช่วงไตรมาส2/53 ซึ่งคาดว่าจะเป็นเงินก้อนใหญ่แต่ทาง BBL กำลังพิจารณาอาจนำไปตั้งสำรองผลประโยชน์พนักงานตามมาตรฐานบัญชี
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.บัวหลวง กล่าวว่า ราคาเป้าหมายที่ 150 บาทยังไม่รวมกำไรพิเศษจากการขาย ACL มูลค่า 1.2-1.3 พันล้านบาท โดยมองว่าสินเชื่อทั้งปีโตได้ 7% หากจีดีพีเติบโต 4.7% ตามที่คาดการณ์ เพราะปีก่อนจีดีพีติดลบถึง 2.3% ซึ่งการเติบโตของเศรษฐกิจส่งผลดีอย่างมากต่อการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากธนาคารอยู่ในสถานะที่ดีที่สุดในกลุ่มที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของรัฐและเอกชน
นอกจากนี้ สถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งของธนาคารจะส่งผลให้ปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าได้มากกว่าสถาบันการเงินอื่น และ BBL สามารถกระจายความเสี่ยงในธุรกิจด้วยการปล่อยสินเชื่อระหว่างประเทศในประเทศในภูมิภาค ซึ่งมีการเติบโตของเศรษฐกิจสูงกว่าประเทศไทย และ/หรือ มีความเสี่ยงด้านการเมืองต่ำกว่าไทย เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย