นายสุรพล เตชะหรูวิจิตร กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการ บมจ.เอเชียโฮเต็ล(ASIA)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า อัตราการเข้าพักโรงแรมเอเชียกรุงเทพลดลงเหลือเพียงง 25-30% ในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งลดลงจากช่วงก่อนหน้านี้ที่มีอัตราเข้าพัก 55-60% จากจำนวนห้องพักทั้งหมด 600 ห้อง เนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศที่ไม่มั่นคงกระทบโดยตรงต่อนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้ถนนราชเทวี
อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะหากเหตุการณ์ผ่อนคลายลงหรือยุติได้โดยเร็ว อาจจะไม่กระทบต่อการจองห้องพักมากนัก แม้ว่าปัจจุบันยอดจองห้องพักลดลงมาอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกคนรอดูสถานการณ์ หากภาวะปกติที่อยู่อยู่ในระดับ 70-80% ในช่วงนี้
"อุตฯท่องเที่ยวปีนี้ขึ้นอยู่ที่ความวุ่นวายจะต่อเนื่องแค่ไหน ภาครัฐจะปิดประเด็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ก็อยู่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายด้วยว่าจะคุยกันอย่างไร เพราะมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยถ้าหากมีการตกลงกันได้หรือคุยกันรู้เรื่องแล้วภายใน 1 เดือน ทุกอย่างก็จะ recover...ภาพท่องเที่ยวน่าจะรอดูผลตรงนี้ โดยเฉพาะที่แยกราชประสงค์" นายสุรพล กล่าว
ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทบต่อรายได้ของบริษัทโดยตรง ส่วนมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าการชุมนุมจะยืดเยื้ออีกอยู่นานหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ช่วงไตรมาส 1/53 คาดว่าน่าจะใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากที่ประเมินรายได้ปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อน เพราะสถานการณ์การเมืองที่วุ่นวายตั้งแต่ต้นปี แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาการเมือง
อย่างไรก็ตาม จากวิกฤตที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทกำลังพิจารณาที่จะเลื่อนการปรับปรุงห้องพักของโรงแรมเอเชียกรุงเทพ ส่วนที่เหลืออีก 250-260 ห้องเร็วขึ้นมาเป็นเดือน พ.ค.หรือ มิ.ย.นี้ หากกำหนดเดิมในช่วง ก.ค.53 คาดว่าใช้เวลา 4 เดือน หลังจากที่ปี 52 บริษัทได้ปรับปรุงไปแล้ว 380 ห้อง
นายสุรพล กล่าวว่า สำหรับรายได้ในไตรมาส 2/53 คงต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อประเมินผลกระทบทั้งหมด และส่วนหนึ่งจะมีผลจากที่ปิดห้องพักบางส่วนเพื่อปรับปรุงด้วย หากตัดสินใจดำเนินการในเดือน พ.ค.
"หลายตัวแปรประดังเข้ามาในช่วงนี้ทั้งนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้"นายสุรพล กล่าว
ขณะที่ยอดเข้าพักโรงแรมเอเชีย พัทยา ช่วงนี้เป็นโลว์ซีซัน อัตราการเข้าพักอยู่ที่ 50-60% ใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งบริษัทพยายามจะรักษารายได้ให้เท่ากับปีก่อน แต่คงไม่สามารถนำมาชดเชยรายได้ที่สูญหายไปจากโรงแรมเอเชียกรุงเทพฯได้ เนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่าที่พัทยากว่า 50%
ดังนั้น ในปีนี้บริษัทคงพยายามประคองตัวให้เท่ากับปีก่อน แต่ยังเชื่อว่ายังสามารถทำกำไรได้ เนื่องจากมีรายได้จากศูนย์การค้าที่มีแนวโน้มดีขึ้นเข้ามาช่วย
นายสุรพล กล่าวถึงการนำบริษัท เซียร์ รังสิต เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้ตั้งเป้าดำเนินการในช่วงต้นเดือน พ.ค.53 ที่จะเริ่มยื่นไฟลิ่งให้กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) โดยมี บล.พัฒนสิน เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน คาดว่าจะเข้าจดทะเบียนได้ภายในไตรมาส 4/53
ปัจจุบัน ASIA ถือหุ้นในเซียร์ 93% หลังกระจายหุ้นแล้ว สัดส่วนถือหุ้นจะลดลงเหลือ 70% กว่า
ทั้งนี้ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง โดยปี 53 ตั้งเป้ารายได้น่าจะเติบโตได้ 5-6% จากปีก่อนอยู่ที่ 400 กว่าล้านบาท เนื่องจากจะมีการปรับขึ้นค่าเช่าตามเวลาที่กำหนดสำหรับสัญญาเดิม และพื้นที่เช่าบางส่วนที่ยังไม่เปิดบริการ ก็จะทยอยเปิดในปีนี้ ซึ่งจะทำให้รายรับเริ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ในปีนี้ยังมีพื้นที่บางส่วนรอการพัฒนาในรูปแบบอื่น เพราะไม่ต้องการให้มีการเปิดพื้นที่ขายสินค้ามาก จนทำให้ลูกค้าคิดว่ามีคู่แข่งมาก ซึ่งผู้เช่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ขายอุปกรณ์สำนักงาน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ที่ได้รับผลดีโดยตรงจากเศรษฐกิจพื้นตัว และจะเป็นผลดีกับศูนย์การค้าด้วย
"การปรับราคาค่าเช่าของศูนย์การค้าจะเซ็นสัญญา 3-4 ปีก็จะมีอัตราการเพิ่ม growth อยู่แล้ว และลูกค้าใหม่เปอร์เซนต์ไม่สูงมากก็จะมีเจรจาปรับราคากันไป ศูนย์การค้าปีนี้คาดว่ากำไรก็น่าจะดีขึ้นจากปีก่อนเพราะจะมีรายรับจากค่าเช่า เพราะศูนย์การค้าจะไม่เหมือนโรงแรมที่กระทบโดยตรงจากธุรกิจท่องเที่ยว หรือการเมืองวุ่นวาย"นายสุรพล กล่าว