นายบันเทิง ตันติวิท ประธานกรรมการ บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าการทำกำไรในปี 53 จะสูงกว่า 3,200 ล้านบาท หลังจากให้ธนาคารธนชาต(TBANK)เข้าซื้อหุ้นธนาคารนครหลวงไทย(SCIB) เพื่อเข้าสู่กระบวนการควบรวมกิจการกัน โดยกำไรในปีนี้จะสูงกว่ากำไรปกติของ TCAP ที่มีปี 52 อยู่ในระดับ 3,100 ล้านบาท
"ในปี 52 ที่บริษัทมีกำไร 5 พันล้านบาท แต่หากหักกำไรพิเศษจากการขายหุ้น TBANK ให้ธนาคารโนวาสโกเทียจำนวน 1,900 ล้านบาทก็จะเป็นกำไรปกติประมาณ 3,100 ล้านบาท ซึ่งปี 53 เราคาดว่าน่าจะกำไรได้มากกว่าปี 52" นายบันเทิง กล่าว
หลังจาก TBANK เข้าซื้อหุ้น SCIB และควบรวมกิจการแล้ว คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ทันทีจาก SCIB ในเดือน มิ.ย.53 เต็มจำนวน หากสามารถทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ได้ครบทั้ง 100%
ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์(ROA)ของ TBANK ปัจจุบันอยู่ที่ 1% กว่า และหลังควบรวมกิจการกับ SCIB จะมี ROA ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน SCIB มี ROA ต่ำกว่า 1% ส่วน TCAP มี ROA ที่ 1% ส่วนการปล่อยสินเชื่อของ TBANK ไตรมาส 1/53 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 4/52 ตามยอดขายรถยนต์ฟื้นตัวและราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวดีขึ้น ทำให้รายได้เกษตรกรดีขึ้นตาม
ส่วนการชุมนุมทางการเมืองขณะนี้ ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท แต่ยอมรับว่าอาจจะกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดเล็กบางราย และหากการเมืองยืดเยื้อย่อมีผลกระทบต่อธุรกิจแน่นอน เนื่องจากจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่จะได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมผู้ถือหุ้น TCAP วันนี้ ที่ประชุมได้ออกเสียงมากกว่า 3 ใน 4 เสียง ด้วยคะแนนเสียง 586,525,233 เสียง คิดเป็น 99.424% อนุมัติให้ TBANK ซึ่งเป็นบริษัทย่อย TCAP เข้าซื้อหุ้น SCIB และทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ บมจ.ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) โดยในวันพรุ่งนี้ TCAP พร้อมใส่เงินเพิ่มทุนให้ TBANK จำนวน 18,000 ล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้น 51% และจะทำการโอนเงินซื้อขายหุ้นกับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในวันที่ 9 เม.ย.53
นายบันเทิง กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยว่า หลังการ TBANK เข้าซื้อหุ้น SCIB และมีการควบรวมกิจการแล้ว จะมีผลต่อการดำเนินงานของ TCAP ดีขึ้นตามการเติบโตของ TBANK ที่จะกลายเป็นธนาคารอันดับ 5 ในระบบธนาคารพาณิชย์ และเบื้องต้นได้วางแผนการดำเนินงานใน 3 ด้านหลังควบรวมกิจการ คือ การดึงต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากให้ลดลงเท่า SCIB ซึ่งปัจจุบัน TBANK มีต้นทุนเงินฝากสูงกว่า และอนาคตจะลดต้นทุนเงินฝากเหลือเท่ากับธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) และ มองถึงต้นทุนเงินฝากเทียบเท่าธนาคารขนาดใหญ่ต่อไป
พร้อมทั้งรักษาระดับการเป็นผู้นำสินเชื่อเช่าซื้อต่อไป เนื่องจากการแข่งขันที่ยังมีความรุนแรงมากขึ้น และเมื่อควบรวมกิจการแล้วจะทำให้การให้บริการดีขึ้นและจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น และในอนาคตจะมีการขยายสินเชื่อสู่ลูกค้า Corporate และ Commercial loan โดยจะลดสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อจาก 70% เหลือ 50%
อย่างไรก็ตาม แม้ TBANK จะมีการควบรวมกิจการกับ SCIB และในที่สุด SCIB จะเพิกถอนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่บริษัทไม่มีนโยบายที่จะให้ TBANK เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทน
พร้อมยืนยันว่า TCAP ไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน เพื่อนำเงินไปใช้ในการให้ TBANK เข้าซื้อหุ้น SCIB ซึ่งปัจจุบัน TCAP มีเงินทุนจำนวน 33,000 ล้านบาท เพียงพอใช้ดำเนินธุรกิจได้ต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน อีกทั้งบริษัทยังมีความสามารถที่จะกู้เงินเพื่อนำมาใช้ในการซื้อหุ้น SCIB ได้ และยังมีความสามารถที่จะจ่ายเงินปันผลในอนาคต
"เมื่อรวมการดำเนินงานของ SCIB ด้วยแล้ว ROA ของกลุ่ม TCAP จะมากกว่า 1% ซึ่งระยะสั้นหลังควบรวมกิจการ TBANK กับ SCIB ยังเชื่อว่า TCAP ยังคงอัตราการจ่ายเงินปันผลตามนโยบาย และหากระยะยาว เห็นประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น และเป็นไปตามทีคาด TCAP จะจ่ายปันผลที่ดีขึ้น " นายบันเทิง กล่าว
และการประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ ยังได้ปรบมือให้กำลังใจ นายบันเทิง และนายศุภเดช พูนพิพัฒน์ประธานกรรมบริหาร TCAP ซึ่งถูกศาลอาญาพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 3 ปี 4 เดือน จากการฟ้องร้องของนายเกริกชัย ซอโสตถิกุล ในข้อหากระทำความผิดกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาต โดยการไม่ดำเนินการบังคับขายหุ้นของโจทก์เมื่อถึงเกณฑ์ที่ต้องบังคับขาย ทำให้ได้รับความเสียหายเพราะราคาหุ้นลดต่ำลง ส่งผลขาดทุนจำนวนมาก
ทั้งนี้นายบันเทิง กล่าวพร้อมน้ำตาว่า การถูกคำพิพากษาครั้งนี้ ยอมรับว่าได้ส่งผลกระทบต่อครอบครัวค่อนข้างมาก ซึ่งสิ่งที่ทำไปนั้นเพื่อประโยชน์ของบริษัททั้งสิ้น แม้ลูกค้าที่ฟ้องร้องบริษัทจะพยายามเข้ามาเจรจาแต่ดำเนินการใดๆ ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถูกดำเนินคดี มีทั้งเจ็บใจและน้อยใจ แต่ในที่สุดแล้ว ตนเองไม่ได้รู้สึกถอใจ เพราะยังมีงานที่ทำอีกมาก โดยเฉพาะงานควบรวมกิจการ ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่และมีภารกิจอีกมาก