โบรกเกอร์ เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/53 เติบโตสูง โดยจะอยู่ในช่วง 6.6-6.82 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 5.19 พันล้านบาท จากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งผลประกอบการจะดีขึ้นทั้งในส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจอื่น
โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่มีสัดส่วนรายได้ 42% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งส่วนต่างผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในระดับสูง และเป็นตัวหลักที่ทำให้มาร์จินอยู่ในระดับสูงอยู่ ส่วนธุรกิจซีเมนต์และธุรกิจกระดาษ ก็ได้ผลบวกจากความต้องการภายในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น สำหรับเรื่องของมาบตาพุดก็คลี่คลายลงไปเรื่อย ๆ ศาลฯได้อนุมัติให้มีการสร้างต่อไปได้หลังจากที่ได้มีการร้องขอ
ภาพโดยรวมของ SCC ในปีนี้ผลกำไรยังน่าจะเติบโตดี พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิไว้ในช่วง 2.49-2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 2.43 หมื่นล้านบาท
เช้านี้ ราคาหุ้น SCC ปิดเทรดช่วงเช้าที่ 271 บาท ลดลง 6 บาท(-2.17%)มูลค่าซื้อขาย 712.42 ล้านบาท โดย SCC ขึ้นเครื่องหมาย XD วันนี้วันแรก เพื่อจ่ายเงินปันผลประจำปี 52 ให้แก่ผู้ถือหุ้นอีก 5 บาท/หุ้น โดยปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 12 เมษายน 53 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 เมษายน 53
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) JP Morgan ซื้อ 343.00 Merrill Lynch ซื้อ 302.00 บล.ภัทร ซื้อ 302.00 บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) ซื้อ 320.00 บล.ทิสโก้ ซื้อ 284.00 บล.นครหลวงไทย ซื้อ 290.00 บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย)ซื้อเมื่ออ่อนตัว 278.00 บล.โกลเบล็ก ซื้อ 284.00 บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 273.00 บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ซื้อ 280.00 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 284.53 บล.ธนชาต ซื้อ 280.00
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่า ผลประกอบการ SCC ในงวดไตรมาส 1/53 จะมีกำไร 6.82 พันล้านบาท เติบโต 31% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 5.19 พันล้านบาท จากผลประกอบการที่ดีขึ้นทั้งในส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจอื่น รวมถึงเงินปันผลรับและส่วนแบ่งรายได้จากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทในเครือ
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า SCC จะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจอื่นในปี 53 โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.43 หมื่นล้านบาท โดยส่วนต่างผลิตภัณฑ์ HDPE-Naphtha คาดไว้ในระดับ 510 และ 480 เหรียญฯต่อตัน ในปี 53-54
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์อาวุโส บล.นครหลวงไทย คาดว่า กำไรของ SCC ในงวดไตรมาส 1/53 น่าจะออกมาดี โดยคาดว่าจะเติบโต 27% yoy เป็น 6,600 ล้านบาท ซึ่งหลัก ๆ มากจาก 3 ธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีที่ทำรายได้ 42% ของรายได้รวม SCC โดยคาดว่าส่วนต่างระหว่างผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และนาฟทายังอยู่ในระดับสูง และเป็นตัวหลักที่ทำให้มาร์จินสูง ซึ่งคาดว่าธุรกิจปิโตรฯจะมี EBITDA อยู่ในระดับสูงอยู่ที่ 19.75%
ส่วนธุรกิจซีเมนต์ และธุรกิจกระดาษ ได้รับผลบวกจากความต้องการจากภายในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า SCC จะมี EBITDA สูงอยู่ที่ 19.3%
นอกจากนี้ ยังได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 53 เพิ่มขึ้น 17% มาที่ 25,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากปี 52 ที่มีกำไรสุทธิ 24,346 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าปีนี้ส่วนต่างระหว่างผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ต่อนาฟทายังทรงตัวสูง คาดว่าจะอยู่ที่ 350-400 เหรียญฯ/ตัน จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 300 เหรียญฯ/ตัน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส ให้เหตุผลที่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น SCC ด้วยราคาเป้าหมาย 285 บาท/หุ้น คิดเป็นค่า P/E 14 เท่า โดยคาดว่ากำไรงวดไตรมาส 1/53 จะออกมาดี จากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ HDPE-Naphtha สูง ขณะที่ปัญหามาบตาพุดก็ได้คลี่คลายลงไปเรื่อย ๆ แลวหลังจากศาลปกครองได้อนุมัติให้มีการก่อสร้างบางโครงการต่อไปได้หลังจากที่ได้มีการร้องขอ
ดังนั้น ภาพรวมของ SCC ในปีนี้ผลกำไรยังน่าจะอยู่ในระดับสูงอยู่ แม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ในช่วงไตรมาส 2-3/53 คาดว่าจะย่อตัวลง แต่มองว่าจะได้กำลังผลิตใหม่เข้ามาเสริมแทน จาก cracker ตัวที่ 2 ในส่วนธุรกิจกระดาษ SCC ก็มีกำลังผลิตใหม่ที่เวียดนาม
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 53 ของ SCC ไว้ที่ 24,888 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีกำไรสุทธิ 24,346 ล้านบาท