นายมาร์ค จอห์น อาร์โนลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารยังไม่มีแผนการปรับเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปี 53 ที่คาดว่าจะเติบโต 8% จากปีก่อน ถึงแม้ภาวะปัจจุบันจะมีความกังวลเรื่องสถานการณ์การเมืองว่าหากยืดเยื้อก็อาจจะกระทบการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1/53 ผลดำเนินงานของบริษัทเติบโตเป็นอย่างดีในทุกด้านทั้งกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น สินเชื่อรายย่อยและเอสเอ็มอี ซึ่งโครงสร้างสินเชื่อส่วนใหญ่ถึง 42% มาจากรายย่อย ที่เหลือมาจากรายใหญ่และเอสเอ็มอี
ทั้งนี้ ธนาคารจะมีการทบทวนการดำเนินงานในช่วงเดือน พ.ค.และก.ย.อีกครั้งตามปกติ ซึ่งปัจจุบันมองว่ายังไม่มีผลกระทบ แต่ยังคงติดตามสถานการณ์เพื่อประเมินผลเป็นระยะ
"ตอนนี้เรายังมีความมั้นใจอยู่สูงในด้านผลการดำเนินงาน แต่ถ้าสถานการน์การเมืองยังไม่ดี ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงในช่วงไตรมาส 3-4/53 ถ้าจบก็กระทบเหมือนกัน แต่เป็นการกระทบที่น้อยลง และมองว่าควรหยุดสถานการณ์บนท้องถนนหรือควรกดดันอย่างมีจรรยาบรรณ"นายมาร์ค กล่าว
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่เหลือของปีนี้ธนาคารยังเชื่อว่าสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ โดยคาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 53 จะสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไร 2,542 ล้านบาท โดยการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย รวมทั้งการลดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ซึ่งธนาคารจะเปิดประมูลขาย NPL ในไตรมาส 2/53 จำนวน 8 พันล้านบาท แบ่งเป็นขนาดเล็ก 2-3 กอง และทยอยขาย ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถลด NPL ลงเหลือ 4.4 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 5.2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ธนาคารจะเร่งสร้างประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งการสร้างรายได้และกำไรเพื่อผลตอบแทนผู้ถือหุ้น และหากมีจังหวะและโอกาสที่ดีก็อาจจะพิจารณาซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมก็ได้
นายมาร์ค กล่าวว่า ขณะนี้ศักยภาพการดำเนินธุรกิจของธนาคารปรับตัวดีขึ้นมาก และมีฐานลูกค้าสูงถึง 8 ล้านราย แบ่งเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 3 ล้านราย และรองลงมาเป็นสินเชื่อบุคคล ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงกว่า 4% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ดีมาก
ขณะที่คาดว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีในปีนี้การปรับขึ้นจำนวน 0.25 % ในช่วงไตรมาส 2/53 จากเดิมที่จะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งถือว่าการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยถือว่าเร็วกว่าคาดเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเร็วกว่าที่คาด และการที่อาร์/พี ปรับขึ้นธนาคารคาดว่าจะมีการปรับขึ้นในทิศทางเดียวกัน แต่การปรับอัตราดอกเบี้ยคงต้องรอดูสถานการณ์ตลาดและภาวะการแข่งขันควบคู่ไปด้วย