ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร LALIN ที่ระดับ BBB แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 9, 2010 15:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้(LALIN)ที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้าง การบริหารการเงินที่รอบคอบ และผลงานที่เป็นที่ยอมรับในตลาดบ้านจัดสรรสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ

นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงฐานะทางการเงินของบริษัทที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงปี 2551-2552 แต่ทั้งนี้รายได้ของบริษัทยังต่ำกว่าสถิติสูงสุดที่ระดับ 1,900-3,100 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2545-2549 อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่ไม่แน่นอนและลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถดำรงอัตราส่วนกำไรและกระแสเงินสดในระดับที่ยอมรับได้แม้ว่าบริษัทจะมีการลงทุนที่สูงกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ความสามารถของบริษัทในการกระตุ้นผลการดำเนินงานในระยะปานกลาง รวมถึงความสามารถในการระบายสินค้าค้างสต๊อก และดำรงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำจะเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท

LALIN เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางที่ดำเนินธุรกิจพัฒนาบ้านจัดสรร บริษัทก่อตั้งในปี 2531 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2545 นายทวีศักดิ์ วัชรรัคคาวงศ์และนายไชยยันต์ ชาครกุลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทด้วยสัดส่วนการถือหุ้นรวมกัน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2552 จำนวน 63%

บริษัทเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ โดยมีราคาเฉลี่ยในปี 2552 หลังละ 2.6 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้จากการขายบ้านเดี่ยวยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทซึ่งคิดเป็นประมาณ 53% ของรายได้รวม ส่วนรายได้จากบ้านแฝดคิดเป็นประมาณ 33% และทาวน์เฮ้าส์ประมาณ 8% ทั้งนี้ ความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างทำให้บริษัทมีความได้เปรียบในการเสนอราคาขายบ้านที่ไม่แพงในขณะที่ยังมีอัตรากำไรที่ดี

ยอดขายของบริษัทในปี 2552 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขึ้นถึง 21% เป็น 1,432 ล้านบาท ยอดขายบ้านในปี 2551 ปรับตัวดีขึ้น 6% เป็น 1,187 ล้านบาท จาก 1,115 ล้านบาทในปี 2550 รายได้รวมของบริษัทก็เพิ่มขึ้นจากยอดขายที่ต่ำในปี 2550 จำนวน 955 ล้านบาท เป็น 1,095 ล้านบาทในปี 2551 และ 1,229 ล้านบาทในปี 2552 ผลจากการส่งเสริมการขายของบริษัทตามมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ รวมถึงผลตอบรับที่ดีในโครงการใหม่ และยอดขายที่ดีขึ้นในโครงการเดิมบางโครงการช่วยเพิ่มยอดขายและรายได้ของบริษัทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นเป็น 40% ของรายได้รวมในปี 2551 และ 41% ในปี 2552 จาก 39% ในปี 2550 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วคิดเป็น 23.25% ในปี 2551 และ 28.18% ในปี 2552 เพิ่มขึ้นจาก 19.38% ในปี 2550 เนื่องจากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและประโยชน์จากมาตรการด้านภาษีของภาครัฐ

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการขยายโครงการที่ระมัดระวังช่วยทำให้กระแสเงินสดของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ระดับ 125.70% ในปี 2551 และ 56.52% ในปี 2552 ซึ่งสูงกว่าระดับ 19.68% ในปี 2550 เป็นอย่างมาก บริษัทยังคงมีฐานะการเงินที่คล่องตัวในระดับน่าพอใจเนื่องจากมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 722 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับต่ำที่ 12.33% ณ สิ้นปี 2552

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองภายในประเทศและวิกฤติการณ์ทางการเงินทั่วโลก แม้ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 แต่ก็ยังถือว่าชะลอตัวอยู่และถูกครอบงำโดยผู้ประกอบการรายใหญ่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลซึ่งอนุญาตให้ผู้ซื้อบ้านในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็สิ้นสุดลงเมื่อเดือนธันวาคม 2552

ดังนั้น ความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2553 จึงขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2553 น่าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปี 2552 มากนัก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ