ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กไต่ขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่งเมื่อคืนนี้ (9 เม.ย.) หลังรัฐบาลเผยข้อมูลภาคค้าส่งเดือนก.พ.ที่ออกมาดีเกินคาด ประกอบกับตลาดคลายกังวลเรื่องปัญหาหนี้สินของกรีซ นอกจากนี้ นักลงทุนมีความมั่นใจต่อการรายงานผลประกอบการภาคเอกชนไตรมาสแรกที่จะเริ่มต้นขึ้นในสัปดาห์หน้า เนื่องจากเศรษฐกิจอยู่ในระหว่างการฟื้นตัว
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 70.28 จุด หรือ 0.64% แตะที่ 10,997.35 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2551 และในระหว่างวัน ดัชนีเดินหน้าขึ้นทะลุระดับ 11,000 เป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือนเช่นกัน
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 7.93 จุด หรือ 0.67% ปิดที่ 1,194.37 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 17.24 จุด หรือ 0.71% ปิดที่ 2,454.05 จุด
ตลาดวอลล์สตรีทเปิดตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นบวกตามตลาดหุ้นยุโรป เพราะนักลงทุนคลายวิตกว่า ปัญหายอดขาดดุลงบประมาณกรีซสามารถควบคุมได้ หลังจากที่จอร์จ ปาปาคอนสแตนตินู รมว.คลังของกรีซ กล่าวว่า กรีซยังไม่มีแผนที่จะขอรับความช่วยเหลือด้านเงินกู้ภายใต้มาตรการร่วมของสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่ได้มีการตกลงกันไว้ในการประชุมเดือนที่แล้ว ส่วนเยอรมนีก็ออกมาย้ำให้นักลงทุนมั่นใจขึ้นว่า กรีซจะสามารถรีไฟแนนซ์หนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากขึ้น หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งและยอดขายส่งเดือนก.พ.ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
โดยสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.พ. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนม.ค. และดีกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% ส่วนยอดขายส่งเพิ่มขึ้น 0.8% แตะระดับ 3.387 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน ซึ่งดีกว่าที่มีการคาดการณ์กันเอาไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% ส่งผลให้ดัชนีบวกขึ้นทันทีหลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขดังกล่าว
ขณะเดียวกัน มีการคาดการณ์ว่า บริษัทใหญ่หลายแห่งจะรายงานผลประกอบการเดือนม.ค.-มี.ค.ที่แข็งแกร่งในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดให้เดินหน้าคึกคักเมื่อวันศุกร์
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นแล้ว 68% จากระดับต่ำสุดในรอบ 12 ปีที่ 6,547.05 จุดเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2552 แต่ยังต่ำกว่าระดับสูงสุด 14,164.53 ที่ทำได้เมื่อเดือนต.ค. 2550 อยู่ 22%