ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 เม.ย.) เพราะได้รับปัจจัยหนุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข่าวที่ว่ารัฐบาลในประเทศยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่มีมติช่วยเหลือกรีซแก้ปัญหาหนี้สินในประเทศ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วยคลายความวิตกกังวลในตลาดที่มีมายาวนาน ขณะที่นักลงทุนมีมุมมองในแง่บวกต่อการรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่จะเริ่มมีการเปิดเผยออกมาในเร็วๆนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 8.62 จุด หรือ 0.08% แตะที่ 11,005.97 จุด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีที่ระดับปิดของดัชนีไต่ขึ้นมาอยู่เหนือ 11,000 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 2.11 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 1,196.48 จุด และดัชนี Nasdaq ขยับขึ้น 3.82 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 2,457.87 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลในประเทศยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มีมติช่วยเหลือกรีซเป็นวงเงินรวมมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้านยูโร หรือ 6.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาด โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายวิกฤตการณ์การเงินของกรีซและเพื่อกอบกู้ความกู้ความเชื่อมั่นในยุโรป โดยเงื่อนไขของข้อตกลงให้ความช่วยเหลือกรีซระบุว่า รัฐบาลในกลุ่มยุโรปจะปล่อยวงเงินกู้ประเภท 3 ปีให้กรีซมูลค่า 3 หมื่นล้านยูโรในปีนี้ ด้วยอัตราดอกเบี้ย 5% ซึ่งต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 ปีในปัจจุบันของกรีซที่ระดับ 6.98% ส่วนอีก 1.5 หมื่นล้านยูโรจะมาจากไอเอ็มเอฟ
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลที่ปกคลุมในตลาด ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้ตลาดหุ้นซบเซาในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนเกรงว่า ปัญหาหนี้สินที่ทวีความรุนแรงในกรีซ และในประเทศยุโรปอื่นๆ เช่น สเปน และโปรตุเกส จะฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในยุโรปและกดดันค่าเงินยูโร
ขณะเดียวกัน นักลงทุนกำลังจับตาการรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่จะเริ่มมีการเปิดเผยผลการดำเนินงานประจำไตรมาสแรกในเร็วๆนี้ ซึ่งพวกเขาคาดว่าบริษัทรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และข้อมูลดังกล่าวจะช่วยสร้างความมั่นใจว่า เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้เป็นวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าการที่ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นไปปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือนอาจทำให้นักลงทุนเร่งเทขายหุ้นออกมาในจังหวะที่ราคาหุ้นกำลังพุ่งสูง