ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 100 จุดเมื่อคืนนี้ (14 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประเกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และอินเทล คอร์ป รวมทั้งรายงานยอดค้าปลีกเดือนมี.ค.ของสหรัฐที่ดีดตัวขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่า ความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจและตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภค จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวขึ้นด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 103.69 จุด หรือ 0.9% ปิดที่ระดับ 11,123.11 จุด ดัชนี S&P 500 ดีดขึ้น 13.35 จุด หรือ 1.1% ปิดที่ 1,210.65 จุด และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 38.87 จุด หรือ 1.6% ปิดที่ 2,504.86 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.1 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 3 ต่อ 1
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นหลังจากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่สูงเกินคาด ซึ่งแม้ว่าบริษัทยังคงเผชิญกับภาวะซบเซาของอัตราการปล่อยกู้ให้กับผู้บริโภค แต่นายเจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกนกล่าวว่า สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนที่จะจ้างงานเพิ่ม 9,000 คนในสหรัฐ
ขณะที่บริษัท อินเทล คอร์ป รายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดและหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นด้วย นอกจากนี้ อินเทลยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการปี 2553
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนมี.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.6% ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่สาม และบ่งชี้ว่าผู้บริโภคสหรัฐมีการใช้จ่ายมากขึ้นด้วย
นักวิเคราะห์จากบริษัท ทริฟเวิร์นท์ อินเวสท์เมนท์ เมเนจเมนท์ กล่าวว่า ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของเจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำ และอินเทล คอร์ป ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพคอมพิวเตอร์ชั้นนำของโลก ช่วยกระตุ้นนักลงทุนให้เข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเทคโนโลยี อีกทั้งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัว
ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกนปิดพุ่ง 4.1% หุ้นอินเทลปิดทะยานขึ้น 3.3%