นางสุวรรณา พุทธประสาท กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.คลอลิตี้เฮ้าส์(QH) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่ปรับลดเป้ารายได้ ในปี 53 ที่วางไว้ว่าจะเติบโต 30% หรือมีรายได้ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ถึงแม้จะมีการปัจจัยเรื่องการเมืองเข้ามากระทบ แต่บริษัทจะประเมินสถานการณ์ในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้าจึงจะเห็นชัดเจนว่ามีผลกระทบอะไร เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเชื่อมโยงกับภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยมากกว่า
"เราคงจะต้องดูและประเมินสถานการณ์การเมืองใน 1-2 เดือนนี้ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร แล้วเราถึงจะเห็นความเชัดเจน และผลกระทบที่เกิดขึ้นว่าจะส่งผลต่อเศษฐกิจครบหรือไม่ เพราะอสังหาริมทรัพย์จะดูเศรษฐญกิจเป็นหลัก แล้วค่อยมาว่ากันอีกที"นางสุวรรณา กล่าว
นางสุวรรณา กล่าวว่า เป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้ถือเป็นสูงมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แลมีโอกาสจะเห็นการเติบโตของกำไรเป็น 2 หลักในปีนี้ ตามทิศทางเดียวกับรายได้ เนื่องจากปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมครั้งแรก ได้แก่ โครงการคอนโด สาทร มูลค่า 2.3 พันล้านบาทที่จะรับรู้ฯ ทั้งหมดภายในปีนี้ และโครงการคอนโดฯ ที่หลังสวน จะรับรู้รายได้ประมาณ 700-800 ล้านบาท จากมูลค่า 3.5 พันล้านบาท ที่เหลือรับรู้ฯ ปีถัดไป
ขณะที่ปี 54 บริษัทจะพยายามรักษาการเติบโตของรายได้ให้เคียงกับปี 53 โดยคาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
นางสุวรรณา กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงแผนงานพัฒนาโครงการคอนโดฯ ตามที่วางไว้ 3-5 แห่งในปีนี้ รวมมูลค่าโครงการ 4 พันล้านบาท เนื่องจากโครงการทั้งหมดอยู่นอกเขตใจกลางเมือง และได้จัดซื้อที่ดินไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงการพัฒนาโครงการบ่านเดียว 14 โครงการ รวมโครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมดมีมูลค่า 2 หมื่นล้านบาทด้วย
ส่วนโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์มี 2 แห่ง ที่อยู่ย่านราชประสงค์ ซึ่งบริษัทได้มีการบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการชุมนุม โดยได้เสนอให้ลูกค้าย้ายเข้าพักโครงการอื่นที่บริษัทมีอยู่ โดยขณะนี้มีกว่า 100 รายแจ้งชื่อย้ายและทยอยออกไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อรายได้รวมของบริษัทคงไม่มาก เพราะรายได้จากส่วนนี้มีมีสัดส่วนเพียง 6% ของรายได้
นางสุวรรณา กล่าวว่า บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ล็อตแรกในเดือน พ.ค.53 จำนวน 2-3 พันล้านบาท จากวงเงินทั้งหมดที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น 1 หมื่นล้านบาทในวันนี้ โดยหุ้นกู้จะมีอายุ 3 ปี ให้อัตราดอกเบี้ย 3%กว่า เสนอขายให้กับนักลงทุนราย่อยและนักลงทุนสถาบัน เพื่อรองรับหู้นกู้ที่ครบไถ่ถอนในเดือน ก.ค. และ พ.ย. รวมวงเงิน 4 พันล้านบาท